บล.พาย:
BCH: มูลค่าดี แต่มีการเติบโตจำกัด
คงคำแนะนำ “ถือ” มูลค่าพื้นฐาน 21.00 บาท อิง 14.36xPE’22E หรือใกล้เคียง -2SD ต่อค่าเฉลี่ย 3 ปี แม้คาด กำไรปี 2022 จะลดลง 43% แต่ทิศทางราคาหุ้นยังมีปัจจัยสนับสนุนจากจำนวนเคสโอมิครอนที่สูงขึ้น และราคาหุ้นที่น่าดึงดูดหรือคิดเป็นส่วนลด 64% ต่อค่าเฉลี่ยกลุ่มการแพทย์ไทย
- กำไร 4Q21 อยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท (+791% YoY, -14%QoQ) ที่ลดลง QoQ เป็นผลจากการเติบโตของรายได้ที่ต่ำจากรายได้เคสโควิด-19 ที่ลดลง
- กำไรทั้งปี 2021 อยู่ที่ 6.8 พันล้านบาท โต 454%YoY เป็นผลมาจากรายได้ที่โตแข็งแกร่ง +139%YoY และอัตรากำไรที่โตขึ้น +17ppts จากส่วนแบ่งที่สูงขึ้นของเคสโควิด 19
- เล็งเห็นทิศทางที่แข็งแกร่งใน 1Q22 เพราะสายพันธุ์โอมิครอนทำให้มีผู้ติดเชื้อในระดับ 2.5 หมื่นเคส/วัน ซึ่งนับแยกจากส่วนแบ่งเพิ่มเติมจากบริการฉีดวัคซีน
- คงมุมมองเป็นกลาง เพราะคาดว่ากำไรปี 2022-23 จะลดลง 43%/47% ตามลำดับ จากรายได้เคสโควิด-19 ที่ลดลงจนไม่เหลือเลยในปี 2023
เคสโควิด-19 ที่สูงขึ้นคือปัจจัยสำคัญในระยะสั้น
- ประเมินกำไรแตะจุดสูงสุดของปีใน 1Q22 ด้วยการเติบโตขึ้น YoY แต่ลดลงเล็กน้อย QoQ เพราะอัตราการเบิกจ่ายจาก UCEP+ ที่ลดลงจะได้รับการชดเชยจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระดับ 2.5 หมื่นเคส/วัน ส่งผลให้เกิดอุปสงค์การใช้บริการเกี่ยวกับเคสโควิด-19 มากขึ้น โดยในช่วงเดือน ม.ค. – ก.พ. ยอดการให้บริการตรวจหาเชื้อแบบ RT-PCR ปรับเพิ่มสู่ระดับราว 3.7 พันเคสวันจากค่าเฉลี่ยที่ 2.2 พันเคส/วัน ขณะที่อัตราการครองเตียงในโรงพยาบาล และ hospitel ก็ปรับเพิ่มเป็น 85%/79% จาก 78%/32% ใน 4Q21 ขณะเดียวกันบริษัทก็จะได้ประโยชน์จากรายได้ส่วนเพิ่มจากบริการวัคซีน Moderna ด้วยเช่นกัน
- คงมุมมองเป็นกลางเพราะคาดว่ากำไรปี 2022 จะลดลง 43% จากรายได้เคสโควิด-19 ที่น้อยลง ซึ่งประเมินว่าจะมีส่วนแบ่งที่ 28% ของยอดขายรวม ขณะที่ประเมินว่ากำไรปี 2023 จะลดลง 47% หลังจากสถานการณ์โควิด-19 กลายเป็นโรคประจำถิ่น หรือเป็นนัยว่าส่วนแบ่งเคสโควิด-19 จะหมดลง
- ประเด็นสำคัญจากการประชุมนักวิเคราะห์ คือ การที่ผู้บริหารเปิดเผยแผนของรัฐบาลไทยในการประกาศให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น 1) ช่วงรับมือ: พยายามจำกัดยอดผู้ติดเชื้อไม่ให้พุ่งสูงขึ้น 2) ช่วงทรงตัว พยายามลดจำนวนเคสผู้ติดเชื้อรายใหม่ 3) ช่วงชะลอตัว: พยายามลดจำนวนเคสผู้ติดเชื้อรายใหม่ให้เหลือ 1-2 พันเคส/วัน และลดอัตราการเสียชีวิตให้ต่ำกว่า 0.1% และ 4) ช่วงหลังการแพร่ระบาด: ปฏิบัติกับโรคโควิด-19 ดั่งอาการเจ็บป่วยรุนแรง
ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2022-23 ขึ้น 70%/51% ตามลำดับ
การปรับเพิ่มประมาณการดังกล่าวสะท้อนรายได้ที่เติบโตแข็งแกร่ง ด้วยสมมติฐานการเติบโตของรายได้ปี 2022-23 ที่ 46%/15% ตามลำดับ สะท้อนการฟื้นตัวที่ดีขึ้นของกลุ่มผู้ป่วยเงินสด กลุ่มประกันสังคม รวมถึงส่วนแบ่งรายได้เคสโควิด-19 ที่สูงขึ้น เพราะสายพันธุ์โอมิครอนส่งผลให้มียอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงขึ้น ขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) จะลดลงเล็กน้อย 2/1ppt หลังจากมีรายได้ที่แข็งแกร่งก่อนหน้านี้ ขณะที่คาดว่าอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายจะลดลง 4/2ppt จากปัจจัยข้างต้น
สรุปผลประกอบการ
- กำไรปกติ 4Q21 อยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท (+791%YoY, -14%QoQ) จากการเติบโตของรายได้ที่อ่อนแอ แต่ถือว่าสูงกว่าที่เราและตลาดคาด
- กําไรที่โตแข็งแกร่ง YoY เป็นผลจากรายได้เคสโควิด-19 และการฉีดวัคซีน ขณะที่การปรับตัวลดลง QoQ เป็นผลจากจํานวนผู้ป่วยเคสโควิด-19 ที่ลดลง
- รายได้โต 194%YoY แต่ลดลง 14%QoQ เป็น 6.8 พันล้านบาท นับว่าสูงกว่าคาดจากจำนวนผู้ป่วยเคสอื่นที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง แต่ที่ลดลง QoQ เป็นผลจากจํานวนผู้ป่วยเคสโควิด-19 ในโรงพยาบาลที่ลดลง และ Hospitel ที่ลดลง
- อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) เพิ่มเป็น 57% ใน 4Q21 เป็นผลจากการคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- กำไรปกติทั้งปี 2021 อยู่ที่ 6.8 พันล้านบาท เทียบ 1.2 พันล้านบาทในปี 2020 คิดเป็น +454YoY จากรายได้ที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง (+139%YoY) และอัตรากำไรที่ขยายตัวขึ้น (+17ppts) จากบริการเคสโควิด-19 (ราว 37% ของรายได้รวม)
Revenue breakdown
รายได้ของ BCH มาจาก 2 แหล่งหลักคือ 1) กลุ่มคนไข้ทั่วไป และ 2) คนไข้โครงการประกันสังคมและสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ขณะที่คนไข้ทั่วไปคือกลุ่มที่ชำระค่าบริการด้วยตัวเอง และแบ่งออกเป็นกลุ่มผู้ป่วยนอก (OPD) และผู้ป่วยใน (IPD) ปัจจุบันกลุ่ม OPD คิดเป็น 20% ของรายได้รวม
ขณะที่กลุ่ม IPD คิดเป็น 56% ของรายได้รวม โดยจะเป็นกลุ่มบริการเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ปัจจุบัน BCH และบริษัทย่อยมีเตียงรองรับกลุ่มนี้อยู่ 2,254 เตียง ด้วยห้องหลากหลายประเภท เช่น ห้อง VIP ห้อง Gold ห้อง Silver และห้องมาตรฐาน
ทั้งยังให้บริการทางการแพทย์กับผู้ประกันตนภายใต้โครงการภาครัฐ เช่น โครงการประกันสังคม และ สปสช. โดยกลุ่มนี้จะคิดเป็น 15% ของรายได้รวม