EPG ชูกลยุทธ์มุ่งเน้นบริหารจัดการต้นทุนผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานอย่างรัดกุมและเร่งด่วน เพื่อรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้นรอบด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาสงครามรัสเซีย ยูเครน เพื่อบริหารวัตถุดิบที่มีอยู่ พร้อมจัดส่งให้เพียงพอกับการผลิต รวมทั้งการขยายระยะเวลาการเก็บวัตถุดิบให้นานขึ้น ด้านผลงานรอบปีบัญชี 64/65 ตั้งเป้ายอดขายที่ 11,000 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นที่ 29 – 32% คาดสามารถเติบโตได้ดีกว่าเป้าหมาย จากแผนงานที่สามารถปรับตัวต่อทุกสภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้น
รศ.ดร.เฉลียว วิทูรปกรณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EPG เปิดเผยว่า จากการที่ภาคธุรกิจทั่วโลกกำลังเผชิญกับปัจจัยเสี่ยง ทั้งจากสถานการณ์โควิด -19 ที่ยืดเยื้อมากกว่า 2 ปี และสงครามระหว่างรัสเซีย ยูเครน ซึ่งลุกลามกระทบต่อระบบเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งนานาชาติได้มีมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์รายใหญ่ของโลก เช่น พลังงาน และสินแร่สำคัญ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นในรอบหลายปี อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ผลกระทบด้านห่วงโซ่อุปทาน และค่าขนส่งที่ปรับขึ้น ปัจจัยเสี่ยงของความขัดแย้งครั้งนี้อาจยืดเยื้อ บานปลาย กดดันการดำเนินงานในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าว บริษัทจึงได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานอย่างรัดกุมและเร่งด่วน เพื่อรับมือกับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ด้วยบริษัทใช้วัตถุดิบจากปิโตรเคมีเพื่อนำมาผลิตสินค้าในทุกกลุ่มธุรกิจ จึงมุ่งเน้นบริหารจัดการวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งตามลักษณะของกระบวนการและการควบคุม ประกอบด้วย กระบวนการสั่งซื้อวัตถุดิบของบริษัทมีการประมาณการที่แม่นยำ เพื่อบริหารวัตถุดิบที่มีอยู่และอยู่ระหว่างจัดส่งให้เพียงพอกับการผลิตและมีราคาเฉลี่ยที่เหมาะสม โดยได้สั่งซื้อวัตถุดิบล่วงหน้ามากกว่าปกติในช่วงที่ราคาวัตถุดิบยังไม่ปรับราคาขึ้น และขยายระยะเวลาการเก็บวัตถุดิบให้นานขึ้น
สำหรับงานระหว่างทำ (Work in Process: WIP) ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จ และ ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป (Semi Product and Finish Goods) ด้วยสถานการณ์ขณะนี้ บริษัทจำเป็นต้องเพิ่มสต็อกของ WIP/ ผลิตภัณฑ์กึ่งสำเร็จ และผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป เพื่อทำให้บริษัทมีวัตถุดิบในราคาที่เหมาะสมเพียงพอประมาณ 6-8 เดือน
อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการขายฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex ไปยังรัสเซีย ในรูปแบบ Licensing แต่สัดส่วนการขายไม่มาก จึงไม่มีนัยสำคัญ ส่วนผลกระทบในยุโรปต่อจากนี้ บริษัทมีการขายสินค้าไปยังยุโรปประมาณ 5-7% มาจากธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex และธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซีย ยูเครน ได้ อย่างไรก็ตาม สัดส่วนรายได้ของธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น ภายใต้แบรนด์ Aeroflex มาจากสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และไทย เป็นหลัก และธุรกิจชิ้นส่วนอุปกรณ์และตกแต่งยานยนต์ ภายใต้แบรนด์ Aeroklas สัดส่วนรายได้มาจากออสเตรเลีย เป็นหลัก
สำหรับปีบัญชี 64/65 (เม.ย.64 – มี.ค.65) บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 11,000 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นที่ 29-32% คาดว่ายอดขายจะสามารถเติบโตได้ดีกว่าเป้าหมาย ซึ่งการดำเนินงานของบริษัทตลอดระยะเวลา 43 ปีที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ทุกวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น วิกฤตต้มยำกุ้ง/ Hamburger Crisis/ สงครามอิรัก/ สงครามการค้าระหว่างจีน สหรัฐฯ รวมทั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 บริษัทสามารถปรับตัวต่อทุกสภาวะวิกฤติ โดยเชื่อว่าในทุกวิกฤติมีโอกาสเกิดขึ้นเสมอ
******