บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) 24%

Close Mar 21, 2022 Price (THB) 36.75

12M Target (THB) 45.70

Previous Target (THB) 37.60

What’s new?

  • TNH รายงานกำไรสุทธิ 2Q65 ที่ 119 ล้านบาท ชะลอตัว 16%QoQ แต่เติบโตเด่น 140% YoY จากผลบวกรายได้เกี่ยวกับการให้บริการ COVID-19 ที่เพิ่มขึ้น
  • เราปรับกำไรปี 2565 และปี 2566 ขึ้นจากเดิม 27% และ 20% เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาด COVID-19 รุนแรงกว่าที่คาด โดยคาดกำไรปี 2565 เติบโตโดดเด่น 40%YoY ส่วนปี 2566 เติบโต 4%YoY
  • กลยุทธ์ 3 ปีข้างหน้า เน้นเติบโตจากการขยายศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง

Our view

  • เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากแนวโน้มกำไรในปี 2565 ที่เติบโตต่อเนื่อง ส่วนระยะยาวเรามองว่าเติบโตต่อเนื่องตามแผนในการเปิดศูนย์เฉพาะทางเพิ่มขึ้น
  • เราปรับมูลค่าพื้นฐานปี 2565 จากเดิมที่ 37.60 บาท เป็น 45.70 บาท สะท้อนการปรับเพิ่มประมาณการกำไร อิงวิธี DCF ที่ WACC 7.5%

THAI NAKARIN HOSPITAL กำไร 2Q65 เติบโตเด่น จากรายได้ COVID-19

กําไร 2Q65 เติบโตโดดเด่น 140%YoY

บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 2Q65 (สิ้นสุด 31 ม.ค. 65) ที่ 119 ล้านบาท (-16%QoQ, +140%YoY) ดีกว่า ประมาณการของเรา 30% จากรายได้ที่ดีกว่าที่คาด ผลประกอบการชะลอตัว QoQ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่บรรเทาความรุนแรงลง กอปรกับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่สูงขึ้น 5%QoQ เนื่องจากบริษัทมีการตั้งสำรองรายการเบิกจ่ายจาก สปสช. ที่ล่าช้า เทียบ YoY ยังคงเติบโตโดดเด่นจากฐานที่ต่ำปีก่อน ซึ่งผลจากรายได้เกี่ยวกับการให้บริการเกี่ยวกับ COVID-19 ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้ปรับเพิ่มขึ้น 36%YoY เป็น 666 ล้านบาท ขณะที่ประสิทธิภาพในการทำกำไรดีขึ้น เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นสูงกว่าการเพิ่มขึ้นของต้นทุน ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้นจาก 2Q64 ที่ 20.6% เป็น 30.8%

แนวโน้ม 3Q65 ยังเติบโตจาก COVID-19 ก่อนจะเริ่มแผ่วใน 4Q65

แนวโน้ม 3Q65 คาดผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง YoY จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์โอมิครอน แม้จะไม่รุนแรงแต่มีการระบาดในวงกว้าง ทำให้รายได้เกี่ยวกับ COVID-19 ยังคงเพิ่มขึ้น ส่วนใน 4Q65 เราคาดกำไรจะเริ่มชะลอตัว YoY เนื่องจากคาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จะเริ่มบรรเทาความรุนแรงลง ซึ่งรัฐบาลประกาศให้ COVID-19 เป็นโรคประจำถิ่นตั้งแต่ 1 ก.ค. 2555 ด้วยกำไรใน 1H65 เท่ากับ 260 ล้านบาท ดีกว่าคาดมาก โดยเติบโตถึง 117%YoY คิดเป็น 80% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2565 เดิมที่คาด ขณะที่แนวโน้มใน 3Q65 คาดผลประกอบการจะเติบโตดี YoY ทำให้เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2565 ขึ้นจากเดิม 27% เป็น 411 ล้านบาท (+40%YoY) โดยปรับสมมติฐานรายได้เพิ่มขึ้น 14% เป็น 2,437 ล้านบาท และปรับอัตรากำไรขั้นต้นจากเดิมที่ 27.2% เป็น 29.6% และปรับประมาณการกำไรปี 2566 เพิ่มขึ้น 20% จากเดิม จากแนวโน้มรายได้ที่เกี่ยวกับการตรวจสุขภาพที่คาดว่าจะเติบโตดีกว่าที่คาด รวมถึงการเปิดเพิ่มศูนย์เต้านม ในปลายปี 2565 เพิ่มเติมจากการประชุมครั้งก่อน โดยเราปรับสมมติฐานรายได้เพิ่มขึ้นจากเดิม 11% เป็น 2,511 ล้านบาท และปรับอัตรากำไรขั้นต้นจากเดิมที่ 28.3% เป็น 30.2%

แผน 3 ปี มุ่งเจาะกลุ่มลูกค้าการแพทย์เฉพาะทาง ขยายฐานรายได้

กลยุทธ์การเติบโตในช่วง 3 ปีข้างหน้านี้ จะมาจากการเติบโตของศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง โดยปี 2565 มีแผนในการสร้างศูนย์รังสีรักษา (Linac Center) เพื่อให้บริการรักษาโรคมะเร็ง และศูนย์เต้านม คาดเปิดใน 4Q65 ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ (ขนาด 50-60 เตียง) และแผนในการสร้างอาคารจอดรถ เพื่อรองรับลูกค้าเพิ่มขึ้น สำหรับงบลงทุนในปี 2565 เบื้องต้นอยู่ที่ราว 300 ล้านบาท และในปี 2565 บริษัทมีแผนใช้งบการตลาดเพื่อโปรโมทศูนย์เฉพาะทางมากขึ้น ซึ่งได้สะท้อนไว้ในประมาณการผลการดำเนินงานปี 2565 ที่คาดแล้ว ขณะที่แผนระยะยาวมีแผนในการสร้างโรงพยาบาลไทยนครินทร์ 2 (TNH2) คาดกรณีเร็วสุดเป็นปลายปี 2566 ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เศรษฐกิจ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยจะทยอยลงทุนทีละเฟสเพื่อไม่ให้เป็นภาระต้นทุน และไม่ต้องการให้เงินจม (แผนสร้างโรงพยาบาลไทยนครินทร์ 2 จะช่วยเพิ่มผู้ป่วย OPD จากเดิม 2,000 คนต่อวัน เป็น 3,000 คนต่อวัน และการให้บริการ IPD จากเดิม 190 เตียงต่อวันไปเป็น 300 เตียงต่อวัน)

คงคำแนะนำ “ซื้อ”

เราคาดผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี 2565 ซึ่งยังมีผลบวกจากรายได้การให้บริการเกี่ยวกับ COVID-19 ที่สูงขึ้น ส่วนระยะยาวเรามองว่าเติบโตต่อเนื่องตามแผนในการเปิดศูนย์เฉพาะทางเพิ่มขึ้น เราปรับมูลค่าพื้นฐานปี 2565 จากเดิมที่ 37.60 บาท เป็น 45.70 บาท สะท้อนการปรับเพิ่มประมาณการกำไร ซึ่งวิธี DCF (โดยเราคงสมมติฐาน WACC ที่ 7.5% และ LT growth ที่ 1%)

ความเสี่ยง

1. ประมาณการผลประกอบการของ TNH ในปี 2565 ถึงสมมติฐานสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทั่วโลกเริ่มคลี่คลายในทางที่ดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งสัดส่วนรายได้จากการให้บริการจาก COVID-19 จะลดลง  ขณะที่กลุ่มลูกค้าเงินสดที่มาใช้บริการปกติจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดหากต่างจากที่เราคาด อาจทำให้ผลประกอบการไม่เป็นไปตามคาด

2. โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลไทยนครินทร์ 2 ที่มีแผนเลื่อนเปิดเป็นปลายปี 2566 หากสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด มีโอกาสที่บริษัทจะเลื่อนแผนก่อสร้างออกไปอีก

3. การแข่งขันในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นต่อเนื่องจากอุปทานจำนวนเตียงจดทะเบียนในงวดปี 2564 ที่ผ่านมา เพิ่มมากกว่า 3.2 พันเตียง หรือ 7.8% YoY ของเตียงจดทะเบียนโรงพยาบาลเอกชน ณ สิ้นปี 2563 ที่มีอยู่ 40,720 เตียง

- Advertisement -