บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง:

Supalai PCL (SPALI TB) การเติบโตชะลออย่างมีนัยยะ

คงแนะนำ ถือ ลด TP เป็น 24 บาท

เราคงแนะนำ ถือ เนื่องจากคาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวจากฐานที่สูงในปี 2564 ส่วนแนวโน้มการเติบโตของกำไรในปี 2565-67 นั้นไม่น่าตื่นเต้น เราปรับลดราคาเป้าหมายลงเล็กน้อยเป็น 24 บาท บน PE ปี 65 ที่ 8 เท่า ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย 5 ปี หุ้นเด่นสำหรับภาคอสังหาฯ เราเลือก LH เนื่องจากแนวโน้มการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งจากทุกธุรกิจ

รายได้ กำไร อัตรากำไรขั้นต้นปี 2564 สูงสุดเป็นประวัติการณ์

สำหรับปี 2564 รายได้แตะ 2.8 หมื่น ลบ. (+42% YoY) กำไร 7 พัน ลบ. (+66% YoY) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ยอดขายคอนโดมิเนียม (50% ของรายได้ทั้งหมด) เพิ่มขึ้น 118% YoY ขณะที่ยอดขายอสังหาแนวราบเพิ่มขึ้น 7% อัตรากำไรขั้นต้น/สุทธิอยู่ที่ 40%/24% แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่ปี 2557 เนื่องจาก 1) รายได้จากคอนโดมิเนียมที่มีอัตรากำไรสูง 4 โครงการ และ 2) อัตรา SG&A ต่อยอดขายลดลง 1ppt จากการเปิดโครงการน้อยในปีที่แล้ว

กำไรปี 65 ไม่น่าตื่นเต้นจากฐานสูงในปีที่แล้ว

SPALI คาดว่ารายรับปี 65 จะทรงตัวที่ 2.9 หมื่น ลบ. คิดเป็น 55% ของ Backlog หรือ 1.6 หมื่น ลบ. เราคาดการณ์อัตรากำไรขั้นต้นสุทธิจะอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้เพิ่มขึ้นจากการขายอสังหาแนวราบที่มีอัตรากำไร (55% ของรายได้ทั้งหมด) และค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นจากการเปิดโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น (+61% YoY) นอกจากนี้ ส่วนแบ่งกำไรจากการร่วมทุนในออสเตรเลียมูลค่า 533 ลบ. (+155% YoY) มีแนวโน้มทรงตัวจากฐานที่สูงในปีที่แล้ว ยอดขายล่วงหน้าในเดือน ม.ค.-ก.พ.65 เติบโต 20% YoY จากการเปิดตัวโครงการใหม่ครั้งใหญ่มูลค่า 1.4 หมื่น ลบ. รวมถึงคอนโดมิเนียมใหม่มูลค่าโครงการ 3.2 พัน ลบ. (ขายแล้ว 12%) SPALI ตั้งเป้ายอดขายล่วงหน้าปี 65 ที่ 2.8 หมื่น ลบ. (+11% YoY) จากมูลค่าการเปิดโครงการใหม่ 4 หมื่น ลบ. (+61% YoY)

ประมาณการกำไรปี 66-67 เติบโตเพียง 3 %

จากกำไรที่สูงกว่าคาดการณ์ในปี 2564 ที่ 7 พัน ลบ. เราคาดว่ากำไรจะลดลง 9% ในปี 65 และประมาณ 3% ต่อปีในปี 66-67 ความเสี่ยง ได้แก่ ต้นทุนพลังงาน/ค่าก่อสร้างและค่าแรงที่เพิ่มขึ้น ในทางกลับกัน ความต้องการขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของการเติบโตของ GDP ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่สูงขึ้น และกำลังซื้อ ส่วนแผนการขายต่อหุ้นทุนประมาณ 195 ล้านหุ้น (9% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด) ตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค. 65 ถึง 9 ก.ค.66 ไม่น่าจะกดดันราคาหุ้น

- Advertisement -