บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง: 

Thailand Automotive

ก.พ. ยอดผลิตและส่งออกทรงตัว แต่ขายในประเทศเติบโตดี

ประเด็นการลงทุน

ตัวเลขอุตสาหกรรมรถยนต์เดือน ก.พ. อยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ แบ่งเป็นยอดผลิตรถยนต์ 155,660 คัน (+3%MoM, 0%YoY) ตลาดรถยนต์ในประเทศ 74,489 คัน (+7%MoM, +26%YoY) และยอดส่งออก 79,451 คัน (+14%MoM, 0%YoY) แนวโน้มตัวเลขเดือน มี.ค.-เม.ย. ตลาดในประเทศจะได้แรงหนุนเพิ่มจากการจัดงานมอเตอร์โชว์ระหว่างวันที่ 23 มี.ค. – 3 เม.ย. 2565 แต่ตลาดส่งออกจะถูกกระทบจากสงครามในประเทศยูเครน  แนวโน้มปี 2565 ส.อ.ท. ประเมินยอดผลิตรถยนต์ 1.8 ล้านคัน เติบโต 7% สำหรับนโยบายสนับสนุนรถ BEV ของรัฐบาล คาดจะช่วยหนุนยอดขายรถ BEV เพิ่มเป็น 4,000-5,000 คัน เติบโต 100%-150% เราคงน้ำหนักลงทุนกลุ่มยานยนต์เท่าตลาด (NEUTRAL) หุ้นที่เราแนะนำ ซื้อ ในกลุ่ม คือ STANLY (เป้าหมาย 212 บาท) SAT (เป้าหมาย 25.50 บาท) และ AH (เป้าหมาย 28 บาท) แต่รอจังหวะช่วงอ่อนตัว เนื่องจากผลประกอบการงวด ม.ค. – มี.ค. 2555 จะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปีก่อนมีฐานกำไรที่สูง ปีนี้ประสบปัญหาต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น

ยอดผลิตรถยนต์ ก.พ. ทรงตัวจากปีก่อน

กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยตัวเลขยอดผลิตรถยนต์ประจำเดือน ก.พ. 155,660 คัน (+3%MoM, 0%YoY) ค่อนข้างทรงตัว เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและปีก่อน สำหรับตัวเลขสองเดือนแรกของปี 2565 มียอดผลิตรถยนต์เท่ากับ 307,407 คัน เพิ่มขึ้น 1% โดยหากปรับเป็นรายปีจะมียอดผลิต 1.84 ล้านคัน มากกว่าเป้าหมายเล็กน้อย ซึ่งปี 2565 สภาอุตสาหกรรมตั้งเป้าหมายไว้เท่ากับ 1.8 ล้านคัน โต 7% แบ่งเป็นผลิตเพื่อส่งออก 1 ล้านคัน โต 5% และผลิตเพื่อจําหน่ายในประเทศ 8 แสนคัน โต 10%

ตลาดรถยนต์ในประเทศ ก.พ. เติบโตดี

ยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือน ก.พ. อยู่ในเกณฑ์ดี 74,489 คัน (+7%MoM, +26%YoY) แรงหนุนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การผ่อนคลายการล็อกดาวน์ รวมทั้งการส่งเสริมการขายของผู้จำหน่ายรถยนต์ และการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวม 2 เดือนแรก ตลาดรถยนต์ในประเทศ 143,944 คัน เติบโต 26% แนวโน้ม ตัวเลขเดือน มี.ค.-เม.ย. ตลาดในประเทศจะได้แรงหนุนเพิ่มจากการจัดงานมอเตอร์โชว์ ระหว่างวันที่ 23 มี.ค. – 3 เม.ย. 2565 สำหรับแนวโน้มปี 2565 ค่ายรถยนต์โตโยต้า ตั้งเป้าหมายตลาดรถยนต์รวม 860,000 คัน โต 13%

การส่งออกรถยนต์ ก.พ. ทรงตัว

ยอดส่งออกรถยนต์เดือน ก.พ. ค่อนข้างทรงตัวจากปีก่อน 79,451 คัน (+14%MoM, 0%YoY) รวมสองเดือนแรกยอดส่งออกเท่ากับ 149,284 คัน ลดลงเล็กน้อย 3%YoY ปี นี้กลุ่มอุตสาหกรรมตั้งเป้าหมายยอดส่งออก 1 ล้านคัน เติบโต 4% ประเด็นสงครามในรัสเซีย-ยูเครน เป็นผู้ผลิตสินแร่ที่นำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตชิปและแบตเตอรี่ อาจจะส่งผลกระทบการส่งออกไม่ได้ตามเป้า

มาตรการส่งเสริมรถ BEV คาดจะทำให้ปีนี้เพิ่มเป็น 4,000-5,000 คัน โต 100-150%

มาตรการของรัฐบาลในการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (BEV) คือ

1. รถยนต์นั่ง ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท

1.1 ลดอากรนำเข้าสูงสุด 40% (ในปี 2565-66)

1.2 ลดภาษีสรรพสามิตรถจาก 8% เหลือ 2% ให้เงินอุดหนุน (ในปี 2565-2568) 70,000 บาทต่อคัน สำหรับแบตเตอรี่ต้องต่ำกว่า 30 kWh หรือให้เงินอุดหนุน 150,000 บาทต่อคัน แบตเตอรี่มากกว่า 30 kWh

2. รถยนต์นั่ง ราคา 2-7 ล้านบาท

2.1 ลดอากรนำเข้าสูงสุด 20% ในปี 2565-2566)

2.2 ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ จาก 8% เหลือ 2%

3. รถกระบะ ราคาขายปลีกไม่เกิน 2 ล้านบาท

3.1 ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์ เหลือ 0% ในปี 2565-2568)

3.2 ให้เงินอุดหนุน 150,000 บาทต่อคัน สำหรับแบตเตอรี่ไฟฟ้า 30 kWh เฉพาะผลิตในประเทศไทย (ในปี 2565-2568)

สำหรับเงื่อนไขการรับสิทธิ์นี้ ค่ายรถยนต์ผู้ผลิตต้องผลิตรถชดเชยให้เท่ากับจำนวนที่นำเข้าในปี 2567 แต่ขยายเวลาได้ถึงปี 2568 โดยจะต้องผลิตในอัตราส่วน 1.5 เท่า หรือนำเข้า 1 คัน ผลิต 1.5 คัน

จากมาตรการข้างต้น ซึ่งปัจจุบันไทยยังไม่มีการผลิตรถยนต์ BEV ซึ่งปัจจุบันเป็นรถนำเข้า 100% ภายใต้เงื่อนไขดังกล่าว จะต้องมีโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศไทยอีก 2-3 ปีข้างหน้า คือ ในปี 2567-2568 เบื้องต้นจึงมีบริษัทที่ลงนามเข้ารับสิทธิประโยชน์ดังกล่าว 2 บริษัท คือ ค่ายรถยนต์ MG ราคาลดลง 227,000-246,000 บาท คือ MG ZS EV รุ่น D ราคาลดเหลือ 949,000 บาท MG ZS EV รุ่น X ราคาเหลือ 1,023,000 บาท MG EP ราคาเหลือ 761,000 บาท และ MG EP Plus ราคาเหลือ 771,000 บาท ส่วนค่าย GMM ลดราคาลง 160,500 บาท คือ ORA Good Cat รุ่น 400 TECH ราคาเหลือ 828,500 บาท รุ่น 400 PRO ราคาเหลือ 898,500 บาท รุ่น 500 ULTRA ราคาเหลือ 1,038,500 บาท

ภายใต้มาตรการส่งเสริมรถยนต์ BEV ดังกล่าว กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรม ประเมินยอดขายรถยนต์ BEV ในปีนี้จะเพิ่มเป็น 4,000-5,000 คัน เทียบกับปีก่อนที่มียอดขายรถยนต์ BEV จํานวน 1,958 คัน หรือเติบโตประมาณ 100%-150% อย่างไรก็ตาม หากเทียบกับประมาณการตลาดรถยนต์ในปีนี้ โดยค่ายรถยนต์โตโยต้าเท่ากับ 860,000 คัน จะมีสัดส่วนเพียง 0.5%-0.6% แต่ถ้าหากรถ BEV สามารถลดราคาได้ถึงระดับ 600,000 บาท ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมียอดขายเพิ่มเป็น 8,000-10,000 คัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.9%-1.2% ของตลาดรถยนต์รวม

- Advertisement -