บล.หยวนต้า (ประเทศไทย): 

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) 31.3%

Close Mar 29, 2022 Price (THB) 9.90

12M Target (THB) 13.00

Previous Target (THB) 12.60

What’s new?

  • บริษัทรายงานกำไรปกติ 4Q64 เป็นจุดสูงสุดของปีที่ 376 ลบ. หนุนจากยอดโอนที่ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์
  • บริษัทตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ปี 2565 จํานวน 10-12 โครงการรวมมูลค่า 7.0-8.0 พันลบ. โตเด่น 17-33% YoY
  • คาดบริษัทได้รับผลกระทบที่จำกัดจากราคาพลังงานและราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากได้ทําสัญญากับคู่ค้าและผู้รับเหมาไว้แล้วจนถึงสิ้นปี 2565

Our view

  • เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2565/66 ขึ้น 3% และ 5% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในเชิงรุก ขณะที่อุปสงค์แนวราบคาดยังทรงตัวในระดับสูง จากผลกระทบของการแพร่ระบาด COVID สายพันธุ์ Omicron
  • คงคำแนะนำ “ซื้อ” และปรับเพิ่มราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 เป็น 13.00 บาท พร้อมคาดเงินปันผลงวดปี 2565/66 ที่ 0.65 บาท/หุ้น และ 0.70 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่สูงถึง 6.4% และ 6.6% ตามลำดับ

LALIN PROPERTY ดาวรุ่งของกลุ่มพัฒนาอสังหาฯ แนวราบ

กำไรปกติ 4Q21 เป็นจุดสูงสุดของปีจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เป็น All-time-High

บริษัทรายงานรายได้และกำไรสุทธิ 4Q64 ที่ 1.8 พันลบ (+8.4% QoQ, +0.6% YoY) และ 376 ลบ. (+10.9% QoQ, -1.6% YoY) ตามลำดับ ปรับตัวขึ้นโดดเด่น QoQ จาก

(1) ยอดโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบที่ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ หนุนด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคมายังสินค้าแนบราบท่ามกลางการแพร่ของ COVID-19 และ

(2) ผลกระทบจากมาตรการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในช่วง 3Q64 ได้กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วใน 4Q64 ทั้งนี้ กำไรที่ลดลงเล็กน้อย YoY เป็นผลมาจากฐานกำไรที่สูงใน 4Q63 แม้รายได้การโอนกรรมสิทธิ์ใน 4Q64 จะเติบโตขึ้นเล็กน้อย YoY แต่ยังได้รับผลกระทบจากการแข่งขันของอุตสาหกรรมเป็นผลให้บริษัทเลือกใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อระบายสต๊อกในบางพื้นที่

อัตรากำไรขั้นต้นใน 4Q64 อยู่ที่ 38.8% ทรงตัว QoQ แต่ลดลงเล็กน้อยราว 32 bps YoY เป็นผลให้อัตรากำไรขั้นต้นทั้งปี 2564 อยู่ที่ 39.0% ใกล้เคียงกับปี 2563 ที่ 39.1% แต่ถือว่ายังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมที่มีค่าเฉลี่ยอัตรากำไรขั้นต้นทั้งปี 2564 ที่เพียงราว 33% +/- สะท้อนความสามารถในการควบคุมต้นทุนที่ทำได้ดีต่อเนื่องแม้อยู่ในภาวะตลาดแข่งขันสูง และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่กลับสู่ระดับปกติก่อนเกิด COVID-19 ก็ตาม

เปิดแผนปี 2565 ตั้งเป้าทำ New High ทั้งยอดเปิดตัวโครงการใหม่และยอดโอนกรรมสิทธิ์

ในช่วงปี 2564 บริษัทได้ทำการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 9 โครงการรวมมูลค่า 6.0 พันลบ. เติบโตขึ้น 15% YoY แบ่งเป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ 5 โครงการ (3.2 พันลบ.) และบ้านเดี่ยว 4 โครงการ (2.9 พันลบ.)

สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2565 บริษัทตั้งเป้าที่ 10-12 โครงการรวมมูลค่า 7.0-8.0 พันลบ. เติบโตขึ้น 17-33% แบ่งเป็นการเปิดตัวในช่วง 1H65 ที่ราว 7-8 โครงการ และในช่วง 2H65 ราว 4-5 โครงการ  โดยภาพรวมยังเน้นที่แบรนด์หลักของบริษัทคือ Lio (ทาวน์เฮ้าส์) และ Lanceo (บ้านเดี่ยว) ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายการโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2565 ที่ 7.2 พันลบ. เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับปี 2564 อย่างไรก็ดี จากแผนการเปิดตัวโครงการที่หนาแน่น เราคาดมีโอกาสสูงที่บริษัทจะทำยอดโอนได้ดีกว่าเป้าราว 5-10% จากผลของการปลดล็อคมาตรการ LTV และการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Omicron คาดยังเป็นปัจจัยหลักหนุนอุปสงค์โครงการแนวราบต่อเนื่องในปี 2565

ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2565/66 ราคาพลังงาน/วัสดุก่อสร้างไม่ใช่สิ่งที่ต้องกังวล

เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2565 และ 2566 ขึ้น 3% และ 5% ตามลำดับ หลักๆ มาจากการปรับเพิ่มสมมติฐานรายได้ เพื่อสะท้อนแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในเชิงรุก ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดยังทรงตัวได้ที่ระดับ 38.9% ในปี 2565 ก่อนที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่ 39.3% ในปี 2566 นอกจากนี้ เราคาดปัจจัยระดับมหภาคที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ ราคาน้ำมัน รวมถึงวัสดุก่อสร้างให้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย จะไม่กระทบความสามารถในการทำกำไรของบริษัท เนื่องจากปัจจุบันได้ทำสัญญากับคู่ค้าวัสดุและผู้รับเหมาไว้แล้วสำหรับโครงการที่จะเปิดตัวในปี 2565 บนสมมติฐานสถานการณ์ COVID-19 และรัสเซีย-ยูเครนจะเริ่มคลี่คลายภายใน 4Q65

คงคำแนะนำเป็น “ซื้อ” พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2565 เป็น 13.00 บาท/หุ้น

เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับเพิ่มราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 2565 เป็น 13.00 บาท/หุ้น (อิง PER2565 ณ เท่าเดิมที่ 8.2x เทียบเท่า +2.3 SD จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี) และคงให้เป็น Top pick ของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดกลาง-เล็ก จากแนวโน้มผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และ Valuation ที่ยังถูกกว่าอุตสาหกรรมอย่างมีนัยสำคัญ (ราคาปิดวานนี้เทียบเท่า PER2565 ที่ 6.3% ต่ำกว่ากลุ่มที่ 8.0x)

นอกจากนี้ เราคาดเงินปันผลสำหรับงวดปี 2565/66 ที่ 0.65 บาท/หุ้น และ 0.70 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield ที่สูงถึง 6.4% และ 6.6% ตามลำดับ

 

- Advertisement -