CEYE น้องใหม่ IPO สุดครีเอทีฟ เดินหน้าโรดโชว์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ สร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนตามแผนเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 70 ล้านหุ้น โดยมี “แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์” เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ร่วมชูศักยภาพและจุดเด่น มอง CEYE เป็นหนึ่งในผู้นำด้านครีเอทีฟ คอนเทนต์โฆษณา ครบวงจร ปัจจุบันยังไม่มีบริษัทจดทะเบียนที่ทำธุรกิจใกล้เคียงกับบริษัท ตลอดจนทีมงานคุณภาพ มีประสบการณ์ พร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในไตรมาส 2/65 นี้

 

นางสาวสุวรรณี สุวรรณแสงโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ตาชำนิ จำกัด (มหาชน) หรือ CEYE เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าจดทะดเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) โดยได้จัดงานโรดโชว์บนแพลตฟอร์มออนไลน์ เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้นักลงทุนทั่วไปได้รับฟังข้อมูลการดำเนินธุรกิจ และแผนงานในอนาคต รวมถึงเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตตามแผนการระดมทุน โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 70 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.93% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และคาดจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจบริการ (service) ภายในไตรมาส 2/65

สำหรับวัตถุประสงค์การระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อ นำไปใช้สำหรับลงทุนโครงการในอนาคต ประกอบด้วย โครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ พื้นที่ใช้สอยประมาณ 1,000 ตารางเมตร และโครงการลงทุนในส่วนอุปกรณ์การผลิต โดยเป็นการลงทุนในอุปกรณ์การถ่ายภาพ ถ่ายวีดีโอ และลงทุนในส่วนขั้นตอนภายหลังการผลิต นอกจากนี้ นำไปใช้ชำระคืนเงินกู้ให้แก่สถาบันการเงิน และส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ เพื่อประโยชน์ในการบริหารสภาพคล่อง และเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสการเติบโต

นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสเพื่อต่อยอดความเชี่ยวชาญ ผ่านโครงการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักของบริษัท ได้แก่ ลงทุนในบริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การตลาด กิจกรรม และการประชาสัมพันธ์ รวมทั้งธุรกิจออนไลน์ รับเทรนด์เม็ดเงินโฆษณาในยุคดิจิทัลที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งมีแผนลงทุนในบริษัท โพสต์ โปรดักชั่น สำหรับวีดีโอ ภาพยนตร์ และซีรีส์ รวมทั้งลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพและสร้างทีมนวัตกรรม รับเทรนด์การเติบโตของธุรกิจวีดีโอสตรีมมิ่ง และเพิ่มความครบวงจรในการให้บริการด้านโปรดักชั่น

ทั้งนี้ ปัจจุบัน CEYE ประกอบธุรกิจให้บริการผลิตภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวสำหรับสื่อโฆษณา สื่อโทรทัศน์ สื่อดิจิทัล ออนไลน์และบริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีบริษัทย่อยคือ บริษัท ไม้ยืนต้น จำกัด ถือหุ้นสัดส่วน 99.82% ดำเนินธุรกิจให้เช่าสตูดิโอสำหรับการถ่ายภาพยนตร์ โฆษณา และรายการโทรทัศน์  ปัจจุบันมีสตูดิโอ 5 สตูดิโอ

ด้านโครงสร้างรายได้ใน 5 ธุรกิจหลัก ประกอบด้วย ธุรกิจให้บริการผลิตภาพนิ่ง 50.07% บริการผลิตภาพเคลื่อนไหว 26.73% บริการตกแต่งภาพด้วยคอมพิวเตอร์ 11.50% บริการให้เช่าสตูดิโอ 3.82% และบริการอื่นๆ รวมประมาณ 5.50% ได้แก่ ธุรกิจผลิตสื่อออนไลน์ ปัจจุบันมีจำนวน 5 สื่อ คือ Spectrum, Shifter, Love Like Laugh, Myanmar Good Friend และ Landmark ผ่านช่องทาง Facebook, Youtube, Instagram, Website, Twitter เป็นต้น รวมทั้ง ให้บริการบริหารสื่อออนไลน์ให้แก่ลูกค้าบน Facebook ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจใหม่ที่เข้ามาเสริมฐานรายได้ในระยะยาว

ขณะที่นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน CEYE กล่าวว่า การนำเสนอข้อมูลสรุปในงานโรดโชว์ครั้งนี้ เชื่อว่าจะทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของ CEYE ที่โดดเด่นในอุตสาหกรรมครีเอทีฟ และคอนเทนต์โฆษณา ด้วยการให้บริการแบบครบวงจร เป็น One stop services creative and production solution ด้วยกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพ มาตรฐานระดับสากล ตลอดจนทีมผู้บริหารและผู้ก่อตั้งมีชื่อเสียง ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับในวงการโฆษณา ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากบริษัทชั้นนำทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ อีกทั้งมีกลยุทธ์การพัฒนาสื่อเป็นของตัวเอง รับเทรนด์การเติบโตในยุคดิจิทัล เนื่องจากธุรกิจมีความจำเป็นต่อการโฆษณาในทุกยุคสมัย เห็นได้จากรายได้และกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังภาครัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิดในปี 2564 ที่ผ่านมา การเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ จึงมองว่าจะเป็นการปลดล็อกข้อจำกัดในการลงทุน เพิ่มโอกาสให้บริษัทขยายความครบวงจร และเติบโตอย่างแข็งแกร่ง

สำหรับภาพรวมผลประกอบการงวดประจำปี 2564 มีรายได้รวม 272.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 17.53% และมีกำไรสุทธิ 28.45 ล้านบาท เติบโต 101.89% เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากมีรายได้เติบโตขึ้นในทุกกลุ่มธุรกิจ โดยผลประกอบการในไตรมาส 4/64 ทำจุดสูงสุดของปีที่ผ่านมา รับมาตรการผ่อนคลายของภาครัฐในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยมีรายได้รวม 87.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.95% จากไตรมาสก่อน และกำไรสุทธิ 15.30 ล้านบาท เติบโตขึ้น 1,430% จากไตรมาสก่อน ดังนั้น จะเห็นได้ว่า แนวโน้มการเติบโตของกลุ่มบริษัทมีทิศทางสดใสมากขึ้น สอดรับกับเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวต่อเนื่องในปี 2565

*******

- Advertisement -