Daily Focus: Selective and Value Play

2022 SET Target: 1770

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index อยู่ในช่วงพักฐานตามคาด โดยปิดลบ 7.54 จุด นักลงทุนขายทำกำไรเนื่องจากเข้าช่วงคาบเกี่ยววันหยุดยาวสงกรานต์ และยังคงวลเงินเฟ้อที่ยังเร่งตัว สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้น 375 ลบ.และ 396 ลบ. ตามลำดับ (สถานะใน SET50 Index Futures เบาบางและไม่มีนัยยะ)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index แกว่ง Sideways Down ต่อเนื่องหลังวานนี้ปิดหลุดแนวรับ 1,680 จุด โดยวันนี้คาดดัชนีปรับตัวลงหาระดับ 1,670+- จุด นักลงทุนขายลดความเสี่ยงก่อนเข้าช่วงหยุดยาวสงกรานต์ ขณะที่บรรยากาศการลงทุนยังค่อนข้างเป็นลบ เม็ดเงินไหลออกจากสินทรัพย์เสี่ยงเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างดอลลาร์และทองคำ ปัจจัยที่กดดันยังคงเป็นความกังวลเงินเฟ้อที่เร่งตัว โดยคืนนี้สหรัฐฯจะรายงานตัวเลขของเดือน มี.ค. ซึ่งตลาดคาดเร่งตัวทั้ง M-M และ Y-Y ทำให้ FED จะดำเนินนโยบายการเงินที่ตึงตัวขึ้นเร็ว และมีโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาดในช่วงที่เหลือของปี ปัจจัยดังกล่าวยังคงกดดันสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้นที่มี PER สูง โดยเฉพาะหุ้น Growth และ Tech เราประเมินว่า SET Index มีโอกาสแกว่งพักตัวระยะสั้นในช่วงสั้น 1-2 เดือนนี้  โดยมองมีโอกาสอ่อนลงหาระดับ 1,600-1,650+- จุด อย่างไรก็ตาม เรามองเป็นโอกาสในการ “สะสม” เพื่อถือลงทุนระยะกลางยาว โดยเชื่อว่ากระแสและเงินทุนต่างชาติยังมีแนวโน้มไหลเข้าใน 2H22 จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่โตเร่งตัว และโดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่จะฟื้นชัดขึ้น หุ้นที่เราชอบยังคงเป็นกลุ่ม Value Domestic Play ที่มี PER/PBV ต่ำ ทนทานต่อภาวะเงินเฟ้อและนโยบายการเงิน โดยเฉพาะ FED ที่จะตึงตัวเร็วได้ดี เรายังชอบกลุ่ม ธนาคาร โรงกลั่น ค้าปลีก อสังหาฯ อาหารและเครื่องดื่ม การแพทย์ เป็นต้น

กลยุทธ์ : เลือกลงทุนหุ้นที่ยังมี Valuation ต่ำ และยังเน้น Value และ Domestic Play

หุ้นเด่นเดือน เม.ย. : BCP, ICHI, IVL, ORI, SHR

หุ้นเด่นวันนี้ : JR

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 10 บาท
  • กำไรจะเริ่มฟื้นตัวใน 1Q22 และเร่งตัวแรงใน 2Q22 เป็นต้นไปจากงานที่เดินหน้าเร็วขึ้นหลัง COVID-19 คลายตัว และจะเริ่มเห็นผลบวกจากการรุกธุรกิจสถานีชาร์จ E-Bus ในช่วงที่เหลือของปีนี้
  • เราคาดว่า Backlog ของ JR จะพุ่งขึ้นทะลุ 1 หมื่นลบ.จากโอกาสได้งานโครงการเปลี่ยนสายไฟฟ้าอากาศเป็นใต้ดินเฟส 2 ของรถไฟฟ้าสีเหลือง-ชมพู ซึ่งคาดว่าจะมีข้อสรุปใน 2Q22 คาดกำไรปี 2022 +65 Y-Y
  • แนวรับ 7.30-7.20//7 บาท แนวต้าน 7.60//7.80-8 บาท

Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคเร่งตัวขึ้นเป็น US$1,363 ล้าน ยังคงนำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$1,238 ล้านและ US$187 ล้าน ตามลำดับ ส่วนอาเซียนชะลอการไหลออก และอินโดนีเซียยังมีเม็ดเงินไหลเข้าต่อเนื่องอีก US$78 ล้าน แข็งแรงสุดในภูมิภาค แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดยังอยู่ในทิศทางไหลออกและจับตาเงินเฟ้อสหรัฐฯคืนนี้

ประเด็นสำคัญวันนี้

(0) จับตาเงินเฟ้อสหรัฐฯ คืนนี้ หลังวานนี้จีนประกาศเงินเฟ้อเดือน มี.ค. 22 -Flat Q-Q, +1.5% Y-Y สูงกว่าที่ตลาดคาด ขณะที่สหรัฐฯจะประกาศตัวเลขคืนนี้ ตลาดคาด +1.2% M-M, +8.5% Y-Y ยังเห็นการเร่งตัวขึ้นทั้ง M-M และ Y-Y หากออกมาสูงกว่าคาด จะยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง จากความกังวลนโยบายการเงินธนาคารต่างๆ ที่จะดึงตัวเร็ว และมีโอกาสที่ FED จะขึ้นดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดคาดในการประชุมทุกครั้งที่เหลือของปี ทำให้เรายังชอบกลุ่ม Value และ Domestic Play มากกว่าหุ้น Growth และ Tech ที่มี PER สูง

(0) กลุ่มสินเชื่อไม่มีหลักประกัน เราคาดกำไร 1Q22 ยังไม่โดดเด่น +3% Q-Q, -11% Y-Y แม้สินเชื่อจะขยายตัวดี แต่เราคาดว่าจะเห็นการตั้งสำรองที่สูงขึ้นในช่วงแรก และคาดต่อเนื่องใน 2Q22 นอกจากนี้ยังมีความท้าทายจากการแข่งขันที่สูงขึ้นจากคู่แข่งธนาคาร ส่วนธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะด้านดิจิทัลคาดยังต้องใช้ระยะเวลาในการ Ramp Up เราชอบกลุ่มสินเชื่อไม่มีหลักประกันน้อยที่สุด โดยชอบกลุ่ม AMC และสินเชื่อรถบรรทุกมากที่สุดในกลุ่มไฟแนนซ์

(-) NRF แม้ระยะสั้นยังรับรู้กำไรขายเงินลงทุนต่อเนื่องใน 1Q22 และก้อนใหญ่ใน 2Q22-3Q22 แต่ผลการดำเนินงานหลักฟื้นตัวช้ากว่าที่เคยคาด จากปัญหา Container Shortage และเริ่มเผชิญต้นทุนวัตถุดิบและราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะ Plant Based Food ทำให้กำไรปกติ 1Q22 คาด -37% Q-Q, -48% Y-Y เราอยู่ระหว่างปรับลดประมาณการกำไรปี 2022 ลงจากปัจจุบันคาดไว้ +97% Y-Y และจะปรับลดราคาเป้าหมายจาก 8 บาทลง ยังไม่น่าสนใจในการเข้าลงทุน

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 413.04 จุด หรือ 1.19% ปิดที่ 34,308.08 จุด หลังอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐปรับขึ้น ท่ามกลางความกังวลว่าเฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ กดดัน Growth Stocks โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสาร

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ จากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางติดตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศส

(-) ตลาดหุ้นเอเชีย ปรับลง ตามทิศทางตลาดดาวโจนส์ และกดดันจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในจีน

(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่าลง อยู่ที่บริเวณ 33.66 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 3.97 ดอลลาร์ หรือ 4.0% ปิดที่ 94.29 ดอลลาร์/บาร์เรล จากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาด COVID ในจีน และการล็อกดาวน์เมืองต่างๆ ซึ่งรวมถึงเซี่ยงไฮ้จะกระทบต่อความต้องการใช้ น้ำมัน รวมถึง IEA มีมติระบายน้ำมัน 60 ล้านบาร์เรลออกจากคลังน้ำมันสํารองของประเทศสมาชิกในช่วง 6 เดือนข้างหน้า

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 2.6 ดอลลาร์ หรือ 0.13% ปิดที่ 1,948.2 ดอลลาร์/ออนซ์ จากการเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังตลาดดาวโจนส์ปรับลง

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 1,090.49 / +-

- Advertisement -