บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) +37.4%

Close Apr 11, 2022 Price (THB) 17.10

12M Target (THB) 23.50

Previous Target (THB) 23.50

What’s new?

  • คาดกำไรปกติ 1Q65 ที่ 167 ลบ. เติบโต QoQ หนุนจากปริมาณขายที่สูงขึ้น จากการ Build-to-Stock ของบริษัทต่างๆ เพื่อรองรับระดับการบริโภคที่สูงในช่วงเทศกาลสงกรานต์ และค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลง QoQ แต่กำไรปกติมีโอกาสทรงตัว YoY หลังรายได้ที่สูงขึ้นสามารถชดเชยผลกระทบจาก GPM ที่ลดลงได้
  • คาดกำไรปกติ 2Q65 เติบโตต่อเนื่อง QoQ จาก 1) GPM ที่ฟื้นตัว QoQ จากความผันผวนของราคาพลังงานที่ลดลง 2) การผลิตฟิล์มในจีนยังเป็นไปอย่างจำกัด และ 3) การประกาศใช้มาตรการ Anti-Dumping ของไทย

Our view

  • คงราคาเหมาะสมที่ 23.50 บาท/หุ้น อิง PBV 2.0x (เทียบเท่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 10ปี +2SD) มี Upside 37.4% คงคำแนะนำ “ซื้อ”
  • บริษัทฯอยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานในเวียดนามและโรงงานแห่งที่ 2 ในไทย เพื่อขยายกําลังการผลิต โดยวางเป้าหมาย COD ในช่วง 4Q65 ทั้ง 2 โรงงาน โดยตลาดเวียดนามจะเป็นแรงหนุนการเติบโตของบริษัทฯในระยะยาว เนื่องจากเป็นตลาดที่มีอัตรากำไรขั้นต้นและอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่สูง

A.J. PLAST PCL คาดกำไรปกติ 1Q65 ฟื้นตัว QoQ

คาดกําไรปกติ 1Q65 ฟื้นตัว QoQ จากค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลง

แม้ความผันผวนของราคาพลังงาน (ผลจากสถานการณ์ระหว่างรัสเซีย-ยูเครน) ทำให้บริษัทฯมีความยากลำบากในการควบคุมต้นทุนมากขึ้น คาดส่งผลให้ GPM ลดลง QoQ แต่คาดกำไรปกติ 1Q65 ที่ 167 ล้านบาท เติบโต +14% QoQ โดยได้แรงหนุนจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น QoQ จากการ Build-to-Stock ของบริษัทต่างๆ เพื่อรองรับระดับการบริโภคที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วง 2Q65 จากการเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ และค่าใช้จ่าย SG&A ซึ่งคาดลดลงมาอยู่ที่ 161 ล้านบาทใน 1Q65 จาก 193 ล้านบาทใน 4Q64 เนื่องจากไม่มีค่าใช้จ่ายสำหรับการก่อสร้างโรงงานในเวียดนามเหมือนไตรมาสก่อน (จ่ายตามความคืบหน้าของงาน) หากมองในภาพ YoY แม้ GPM ลดลงราว 160bps แต่กำไรปกติของบริษัทมีโอกาสทรงตัว YoY ได้จากรายได้ที่เติบโตขึ้น +33% YoY (ผลจากปริมาณขายและราคาขายที่สูงขึ้น) หากกำไรปกติออกมาใกล้เคียงคาด กำไรปกติ 1Q65 จะคิดเป็นสัดส่วน 25% ของประมาณการทั้งปี

กำไรปกติ 2Q65 มีโอกาสเติบโตต่อเนื่อง QoQ หลังมีการประกาศใช้งาน AD

คาดกำไรปกติ 2Q65 เติบโตต่อเนื่อง QoQ โดยได้แรงหนุนจาก 1) ราคาพลังงานที่มีความผันผวนน้อยลง QoQ  หลังสถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนเริ่มทรงตัว จะทำให้บริษัทฯสามารถควบคุมราคาต้นทุนได้ดีขึ้น (GPM ดีขึ้น QoQ) 2) ทางการจีนยังคงมีการใช้งานนโยบาย Zero-COVID อย่างต่อเนื่อง แม้จำนวนผู้ติดเชื้อรายวันอยู่ในระดับสูง ทำให้ภาคการผลิตและการบริโภคของจีนสามารถฟื้นตัวได้อย่างจำกัด จึงทำให้มีการส่งสินค้าฟิล์มมาขายในไทยน้อยเมื่อเทียบกับสภาวะปกติ และ 3) การประกาศใช้งานมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping: AD) กับสินค้าประเภทฟิล์ม BOPP ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทฯ โดยมาตรการ AD ส่งผลให้สินค้าประเภทฟิล์ม BOPP ที่นำเข้าจากประเทศจีน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ในอัตรา 0-32.8% (ขึ้นอยู่กับบริษัทและประเทศที่ผลิต) ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของ AJ มีเสถียรภาพมากขึ้น (การแข่งขันราคากับสินค้าต่างประเทศน้อยลง) เบื้องต้นคาดสามารถเห็นแรงหนุนจากมาตรการ AD ได้ตั้งแต่ 2Q65 เป็นต้นไป

ตลาดเวียดนามจะเป็นแรงหนุนการเติบโตในระยะยาว

คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 23.50 บาท/หุ้น อิง PBV ที่ 2.0 เท่า (เทียบเท่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 10 ปี +2SD) มี Upside 37.4% คงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยในปัจจุบัน AJ อยู่ระหว่างการก่อสร้างโรงงานในเวียดนาม และโรงงานในไทยแห่งที่ 2 ที่นิคมอุตสาหกรรมปิ่นทอง โดยตั้งเป้าที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์พร้อมกันในช่วง 4Q65 โดยบริษัทฯ ได้มีการสั่งซื้อเครื่องจักรสำหรับโรงงานใหม่ในไทยเรียบร้อยแล้ว เป็นเครื่องจักรผลิตฟิล์มประเภท BOPET และ BOPP อย่างละ 1 เครื่อง (กำหนดส่งมอบใน 2H65) ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตฟิล์มประเภทดังกล่าวอยู่แล้ว ทำให้สามารถผลิตและส่งมอบให้กับลูกค้าได้ทันที โดยไม่ต้องมีการทดลองคุณภาพสินค้าใหม่ (สามารถสร้างรายได้ทันที) ขณะที่โรงงานเวียดนามจะเป็นการย้ายเครื่องจักรเดิมไปติดตั้งใหม่ โดยตลาดเวียดนามถือเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจ เนื่องจากมีการใช้มาตรการ AD กับสินค้าประเภทฟิล์ม BOPP จากต่างประเทศทำให้เป็นตลาดที่มีอัตรากำไรขั้นต้นและอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสูง โดยจะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของบริษัทฯ ตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป นอกจากนี้บริษัทฯมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสายการผลิตฟิล์มประเภทอื่นๆ ในอนาคต (เวียดนามยังไม่มีผู้ผลิตฟิล์มพลาสติกครบทุกประเภท)

- Advertisement -