TGE เตรียมเสนอขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 600 ล้านหุ้น หลังสำนักงาน ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง พร้อมเข้าจดทะเบียนใน SET ภายในกลางปีนี้ ระดมทุนรุกขยายธุรกิจสู่ผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนชั้นนำ ต่อยอดจุดแข็งความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพและความมั่นคงทางด้านวัตถุดิบ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน

 

นายพงศ์นรินทร์ วนสุวรรณกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ท่าฉาง กรีน เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ TGE เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมต่อยอดความแข็งแกร่งจากการเป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีการผลิตที่มีประสิทธิภาพ และมีความมั่นคงในด้านวัตถุดิบที่ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้าที่มุ่งขยายการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน สู่การเป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนชั้นนำตามแนวทาง Green Energy ซึ่งปัจจุบัน TGE ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าชีวมวลจากวัตถุดิบหลักประเภททะลายปาล์มเปล่า เส้นใยปาล์ม ไม้ชิพ รากไม้สับ เป็นต้น และโรงไฟฟ้าขยะชุมชน

ทั้งนี้ TGE มีจุดแข็งที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในอุตสาหกรรม ได้แก่  ความมีประสิทธิผลในด้านต้นทุน (Effectiveness) ความมีประสิทธิภาพด้านการผลิตและบริหารจัดการ (Efficiency) สามารถผลิตไฟฟ้าประสิทธิภาพสูงด้วยต้นทุนที่ต่ำ และมีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ (Experience) อย่างมีธรรมาภิบาล โดยบริษัทฯ มีบุคลากรที่มีประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล มุ่งมั่นพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน

ด้าน ดร.ศักดิ์ดา ศิริภัทรโสภณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TGE กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า TGE, TPG และ TBP ในอำเภอท่าฉาง จังหวัดสุราษฎร์ธานี กำลังการผลิตติดตั้งรวม 29.7 เมกกะวัตต์ และปริมาณไฟฟ้าเสนอขายกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ตามสัญญาระยะยาวรวม 20.3 เมกกะวัตต์ อีกทั้งมีโรงไฟฟ้าขยะชุมชนอีก 3 โครงการ ได้แก่ โรงไฟฟ้า TES SKW จังหวัดสระแก้ว โรงไฟฟ้า TES RBR จังหวัดราชบุรี และโรงไฟฟ้า TES CPN จังหวัดชุมพร ซึ่งได้รับเลือกจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แล้ว และอยู่ระหว่างการพัฒนาโครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 22 เมกกะวัตต์ และปริมาณไฟฟ้าที่คาดว่าจะเสนอขายรวม 16 เมกกะวัตต์ คาดว่าจะเริ่ม COD ได้ภายในปี 2567 นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายการลงทุนไปยังโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนประเภทอื่นที่มีศักยภาพทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ และก๊าซชีวภาพ เพื่อบรรลุเป้าหมายระยะยาวที่จะเพิ่มกำลังผลิตติดตั้งเป็นมากกว่า 200 เมกกะวัตต์ ภายในปี 2575

สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงปี 2562-64 บริษัทมีรายได้จากการขายจำนวน 336.1 ล้านบาท 650.9 ล้านบาท และ 779.7 ล้านบาท ตามลำดับ โดยมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 52.3 ต่อปี จากการจำหน่ายไฟฟ้าในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ปรับเพิ่มขึ้นตามโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ และในปี 2563 เริ่มมีรายได้จากการรับบริหารจัดการกำจัดขยะจากโครงการโรงไฟฟ้าขยะชุมชน จังหวัดสระแก้ว ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2562-64 ปรับตัวเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 94.3 ล้านบาท 166.9 ล้านบาท และ 202.1 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่นางรัชดา เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ 2 บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  ได้เริ่มนับหนึ่งไฟลิ่งแล้ว โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 600 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 27.3 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการออกและเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในกลางปีนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ในการลงทุนโครงการโรงไฟฟ้า ชำระเงินกู้สถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ

*********

- Advertisement -