Our View? “จังหวะรีบาวด์”

คาดตลาดวันนี้ “Sideway Up” มองแนวรับที่บริเวณ 1,670 / 1,665 และแนวต้านที่บริเวณ 1,680 / 1,690 คาดตลาดจะได้รับ Sentiment เชิงบวกจากตลาดต่างประเทศ หลังนายนายราฟาเอล บอสติก ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) สาขาแอตแลนตา และนายชาร์ลส์ อีแวนส์ ประธาน FED สาขาชิคาโก แสดงความคิดเห็น FED ควรระมัดระวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยอาจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับครั้งละ 50 BPS ในการประชุม 2 ครั้งที่จะถึงนี้ ส่งผลให้ดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐจะอยู่ที่ระดับ 225-250 BPS ในปีนี้ ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ก่อนหน้าที่ระดับ 250-275 BPS อีกทั้งยังสวนทางกับที่นายเจมส์ บูลลาร์ด ประราน FED สาขาเซนต์หลุยส์ แสดงความคิดเห็นก่อนหน้าว่า FED ควรปรับขึ้นดอกเบี้ยที่ระดับ 75 BPS ในการประชุมครั้งถัดไป จนดอกเบี้ยแตะระดับ 350 BPS ในช่วงสิ้นปี เรามองประเด็นดังกล่าวสะท้อนตลาดคาดการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของ FED ไปในระดับหนึ่งแล้ว คาดจะช่วยผ่อนคลายความกังวลดังกล่าวได้บ้าง ช่วยหนุนทิศทางราคาสินทรัพย์เสี่ยงฟื้นตัวขึ้นได้

อย่างไรก็ตาม อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ (US-Bond Yield) ยังคงเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดเข้าใกล้ระดับ 3% ทำจุดสูงสุดใหม่ในภาพระยะสั้น-กลาง ต่อเนื่อง คาดส่งผลให้ความน่าสนใจของสินทรัพย์เสี่ยงเมื่อเปรียบเทียบในเชิงอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ปลอดภัยแคบตัวต่อเนื่อง เป็นปัจจัยจํากัด Upside การฟื้นตัวของตลาดได้ต่อ

ในส่วนราคาสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI. ส่งมอบเดือน พ.ค. เมื่อคืนนี้อ่อนตัวลงปิดที่ระดับ 102.56 ดอลลาร์/บาร์เรล -5.65 ดอลลาร์ (-5.22%) หลังปรับตัวขึ้นรับรู้ความกังวลลิเบียระงับการผลิตไปแล้ว รวมทั้ง IMF เปิดเผยการปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี’65 – 66 ลงเหลือที่ระดับ +3.6% จากคาดการณ์ก่อนหน้าที่ระดับ 4.4% และ 3.8% ตามลำดับ จากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน สะท้อนแนวโน้มอุปสงค์น้ำมันที่อ่อนแอลง กดดันทิศทางราคาน้ำมันเพิ่มเติม ขณะที่เรายังคงมีมุมมองเชิงลบต่อราคาน้ำมันในระยะกลางจาก 1.) การระบายน้ำมันจากคลังสํารองทางยุทธศาสตร์ (SPR) ของกลุ่ม IEA กว่า 120 ล้านบาร์เรล 2.) คาดสหภาพยุโรปมีแนวโน้มออกมาตรการกีดกันการส่งออกพลังงานรัสเซียเพิ่มเติมค่อนข้างยาก 3.) อุปสงค์น้ำมันในจีนที่ยังมีความอ่อนไหวจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 4) แนวโน้มการกลับมาส่งออกน้ำมันของเวเนซุเอลา และอิหร่าน รวมทั้งการมี EU กำลังมองหาทางเลือกด้านพลังงานในแอฟริกา คาดจะเพิ่มอุปทานพลังงานในระยะถัดไป ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันทิศทางราคาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงได้ต่อ กดดันหุ้นในกลุ่มพลังงานถ่วงตลาดได้ในระยะกลาง

ในส่วนของปัจจัยในประเทศมองตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้าหนุนการฟื้นตัวขึ้น ขณะที่คาดว่าตลาดจะเริ่มให้ความสนใจกับการเปิดเผยผลประกอบการของหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดย Bloomberg Consensus คาดว่าออกมาเติบโต 17.41% QoQ และ 7.94% YoY คาดจากสินเชื่อโดยรวมดูดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมทั้ง ECL ที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง หลังเร่งบริเวณหนี้เสียในช่วง 4Q64 ที่ผ่านมา โดยหากผลประกอบการออกมาตามคาด-ดีกว่าคาด คาดจะหนุนหุ้นในกลุ่มธนาคารประคองตลาดได้บ้าง

อีกทั้งเรายังมีมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม สายการบิน จากการผ่อนคลายมาตรเดินทางเข้าประเทศในวันที่ 1 พ.ค. รวมทั้งยกเลิกระบบไทยแลนด์พาส (Thailand Pass) 1 มิ.ย. รวมทั้งล่าสุดศูนย์ควบคุม และป้องกันโรคสหรัฐ (CDC) ได้ประกาศยกเลิกคำเตือนห้ามเดินทางมายังประเทศไทย โดยเป็นการลดระดับกลุ่มความเสี่ยง COVID-19 จากระดับ 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดสู่ระดับ 3 คาดจะเป็นจิตวิทยาเชิงบวกหนุนหุ้นในกลุ่มดังกล่าวปรับตัวขึ้นได้ต่อ

ขณะที่เมื่อวานนี้เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการที่รัฐอนุมติงบประมาณกว่า 2.05 พันล้านบาทช่วยเหลือเกษตร และวิสาหกิจชุมชน จากผลกระทบจาก COVID-19 คาดจะเป็นจิตวิทยาเชิงบวกกระตุ้นแรงเก็งกำไรระยะสั้น หุ้นในกลุ่มค้าปลีกขนาดกลาง (GLOBAL และ DOHOME) รวมทั้งหุ้นที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือการเกษตร (KWM และ BM) ได้บ้าง

ธีมการลงทุน “Selective Play”

หุ้นแนะนําวันนี้ “DOHOME”

กลยุทธ์ ซื้อเล่นรอบ แนวรับ 22.00 / 21.50 Target 23.20 / 25.00 Stop <21.20

- Advertisement -