บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action TRADING (Maintain)

TP upside (downside) +10.2%

Close Apr 26, 2022 Price (THB) 31.75

12M Target (THB) 35.00

Previous Target (THB) 34.00

What’s new?

  • คาดกำไรสุทธิ 1Q65 ที่ 4.3 พันล้านบาท (+147% QoQ, +90% YoY) โดยแม้ว่าจะมีปัจจัยถ่วงจากต้นทุนน้ำมัน Dated Brent ที่สูงขึ้นมาก และปริมาณผลิตปิโตรเลียมได้รับผลกระทบจากการปิดซ่อมแหล่งผลิต อย่างไรก็ตาม คาดผลประกอบการขยายตัวได้ QoQ และ YoY สาเหตุหลักมาจากกําไรสต็อกน้ำมัน 3.6 พันล้านบาท
  • ปรับกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้น 51% สะท้อนกำไรสต็อกน้ำมัน และค่าการกลั่นที่สูงกว่าคาด ราคาเหมาะสมใหม่ 35.00 บาท

Our view

  • แม้ว่าแนวโน้มกำไรปกติ 2Q65 จะดีขึ้น QoQ จากค่าการกลั่น, กำลังผลิตไฟฟ้าใหม่ และผ่านช่วงซ่อมบำรุงแหล่งปิโตรเลียม อย่างไรก็ตาม คาดกำไรสุทธิลดลง QoQ เพราะราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มี Upside จํากัด จะทำให้กำไรสต็อกจํานวนมากไม่เกิดขึ้น
  • ราคาหุ้น +26% YTD Outperform คู่แข่งทั้งโรงกลั่น และสถานีบริการน้ำมัน ทำให้ Upside gain ปัจจุบัน ไม่จูงใจ และ Valuation อยู่ในโซนสูงกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรม คงคำแนะนำ “TRADING” เพื่อ รอจังหวะเข้าลงทุนเมื่อหุ้นอ่อนตัว

BANGCHAK CORPORATION ได้กำไรสต็อกน้ำมันสูง

1Q65 ได้แรงหนุนจากกำไรสต็อกน้ำมัน

สำหรับ 1Q65 คาดกำไรสุทธิ 4.3 พันล้านบาท (+147% QoQ, +90% YoY) โดยแม้ว่าผลการดำเนินงานจะมีปัจจัยถ่วงจากต้นทุนน้ำมันดิบ Dated Brent-Dubai ที่สูงขึ้นเป็น US$6/bbl (จาก US$1.5/bbl ในไตรมาส ก่อน), ปริมาณจำหน่ายไฟฟ้าจะทำได้ 179 ล้านหน่วย ลดลง -23% QoQ ตามปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำในประเทศลาว และปริมาณขายน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติในประเทศนอร์เวย์ ทำได้ 15.4 KBD ต่ำลง -14% QoQ เพราะเป็นช่วงปิดซ่อมบำรุงแหล่งปิโตรเลียมตามแผน อย่างไรก็ตาม คาดว่าภาพรวมผลประกอบการจะยังสามารถขยายตัว QoQ และ YoY หนุนจาก 1) การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ทำให้ประเมินว่าจะมีกำไรสต็อกน้ำมันสูง 3.6 พันล้านบาท 2) ธุรกิจโรงกลั่นได้รับปัจจัยบวกจากอุปทานน้ำมันสำเร็จรูปตึงตัว จากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ทำให้คาดว่าค่าการกลั่นจะเพิ่มขึ้นเป็น US$7.2/bbl (+6% QoQ) และอัตราการกลั่นสูงขึ้นเป็น 102% (+8% QoQ) 3) ธุรกิจการตลาดฟื้นตัวจากยอดขายน้ำมันที่ 1.4 พันล้านลิตร (+2% QoQ) จากอุปสงค์น้ำมันเครื่องบินที่สูงขึ้น รวมทั้งคาดค่าการตลาดจะขยับขึ้น QoQ จากแรงกดดันมาตรการตรึงราคาน้ำมันของภาครัฐคลายตัวลงช่วงปลายไตรมาส นอกจากนี้ คาดการณ์กำไรสุทธิ 1Q65 ของเรายังไม่รวมความเป็นไปได้จากการกลับรายการด้อยค่าสินทรัพย์ของธุรกิจทรัพยากร (OKEA ให้ข้อมูลเมื่อวันที่ 20 เม.ย.)

โมเมนตัมกำไรสุทธิอ่อนลง QoQ ตามกรอบการเคลื่อนไหวราคาน้ำมันดิบ

แม้แนวโน้มผลการดำเนินงานหลัก 2Q65 จะดีขึ้น QoQ หนุนจาก

1) ธุรกิจโรงกลั่นยังแข็งแกร่ง คาดค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นสอดคล้อง Spread น้ำมันสำเร็จรูปที่เร่งตัวขึ้นทุกชนิด

2) ธุรกิจการตลาดฟื้นตัวจากแรงกดดันของค่าการตลาดน้อยลง หลังภาครัฐยุติมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลที่ 30 บาท/ลิตร

3) ธุรกิจไฟฟ้า จะรับรู้กำลังผลิตใหม่จากการ COD โครงการโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่ประเทศญี่ปุ่น 2 แห่ง (โคมากาเนะ 25 MW ตั้งแต่ 29 มี.ค. และยาบุกิ 20 MW ตั้งแต่ 15 เม.ย.) และ

4) การผลิตปิโตรเลียมในนอร์เวย์เป็นปกติ หลังผ่านการปิดซ่อมบำรุง อย่างไรก็ตาม เราคาดทิศทางกำไรสุทธิ 2Q65 จะอ่อนตัวลง QoQ ตามระดับกำไรสต็อกน้ำมัน สอดคล้องกรอบการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบที่จำกัดมากขึ้น หลังอุปสงค์เริ่มได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจชะลอตัว และนโยบายลดความร้อนแรงราคาน้ำมันของสหรัฐฯ

ปรับคาดการณ์กำไรขึ้น 51% สะท้อนกำไรสต็อกน้ำมันมากกว่าคาด

ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้น 51% โดยปรับสมมติฐานค่าการกลั่นขึ้นเป็น US$7/bbl (เดิม US$5.5/bbl) สะท้อนตลาดน้ำมันสำเร็จรูปตึงตัวจากผลกระทบเหตุการณ์รัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งรวมการบันทึกกำไรสต็อกน้ำมันจำนวนมากใน 1Q65 มาไว้ในประมาณการ ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 5.7 พันล้านบาท

รอจังหวะเข้าลงทุนเมื่อหุ้นอ่อนตัว

ปรับไปใช้ราคาเหมาะสมใหม่ที่ 35.00 บาท อ้างอิงค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 10 ปีที่ 10 เท่า อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ต้นปี 2565 ราคาหุ้น BCP +26% Outperform หุ้นโรงกลั่นคู่แข่ง TOP SPRC ที่ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย +5% และหุ้นสถานีบริการน้ำมัน OR PTG ที่อ่อนตัวลงเฉลี่ย 10% ทำให้ Upside gain ปัจจุบันเหลือไม่มาก เชิง Valuation หุ้นซื้อขายบน PBV ที่ 0.9 เท่า (-0.50 SD จากค่าเฉลี่ย) นับว่าอยู่ในโซนสูงเทียบกับหุ้นโรงกลั่นที่ราคายังมีส่วนลดระดับ -1.50 SD ถึง -0.50 SD ทางพื้นฐานคงคำแนะนำ “TRADING”

 

- Advertisement -