CEYE หนึ่งในผู้นำครีเอทีฟโฆษณา ประกาศความพร้อมส่งหุ้นลงกระดานเทรดในตลาดหลักทรัพย์ mai ชูจุดเด่นจากความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในอุตสาหกรรมที่มีมาอย่างยาวนาน เผยเตรียมนำเงินที่ได้จากการระดมทุนต่อยอดธุรกิจ เพิ่มศักยภาพในการให้บริการ ต่อยอดโครงการในอนาคต รับอานิสงส์มาตรการภาครัฐเปิดประเทศเต็มรูปแบบ ลูกค้าทั้งในและต่างประเทศเริ่มกลับมาใช้บริการ หนุนงานโปรดักชั่นเต็มมือ ด้านโบรกฯ ประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 4.20-4.60 บ.ต่อหุ้น
นางสาวสุวรรณี สุวรรณแสงโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ตาชำนิ จำกัด (มหาชน) หรือ CEYE เปิดเผยว่า บริษัทพร้อมเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 29 เมษายนนี้ และเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพของบริษัทที่วางกลยุทธ์ขยายการบริการแบบ One stop services creative and production solution ที่มีความต้องการคู่ขนานไปกับภาพรวมการใช้เม็ดเงินในอุตสาหกรรมโฆษณาและโอกาสจากการขยายไปยังอุตสาหกรรมบันเทิง เอ็นเตอร์เทนเมนต์ และสตรีมมิ่งแพลตฟอร์ม ซึ่งถือเป็นเมกะเทรนด์แห่งอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทมุ่งเน้นขยายบริการใหม่ๆ เพื่อสอดรับสังคมในยุคดิจิทัล รวมทั้งมีธุรกิจสตูดิโอที่บริหารงานโดยบริษัท ไม้ยืนต้น จำกัด ทำให้ CEYE เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และเป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมครีเอทีฟและโปรดักชั่นโฆษณาที่ครบวงจร
ขณะเดียวกัน จากสถานการณ์โควิดที่ผ่อนคลายลงมาก สนับสนุนให้ปริมาณงานจากลูกค้าเพิ่มขึ้น จึงมองแนวโน้มผลงานไตรมาส 1/65 คาดจะมีการเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 4/64 ที่ผ่านมา และล่าสุดรัฐบาลประกาศยกเลิก Test & Go มีผล 1 พฤษภาคมนี้ คาดว่าจะสนับสนุนภาพรวมเศรษฐกิจและการบริโภคในประเทศให้กลับมาคึกคักมากกว่าเดิม เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ลูกค้าแบรนด์ชั้นนำต่างๆ ทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ มีการจัดกิจกรรม โปรโมทสินค้า และการสร้างแบรนด์ จึงมั่นใจว่า เป้าหมายผลการดำเนินงานปีนี้จะกลับมาเติบโตสูงกว่าระดับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงก่อนโควิด-19 โดยในปี 62 มีรายได้รวม 311.74 ล้านบาท กำไรสุทธิ 38.57 ล้านบาท ขณะที่ผลการดำเนินงานล่าสุด ณ สิ้นปี 64 บริษัทมีรายได้รวม 272.74 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.53% และมีกำไรสุทธิ 28.45 ล้านบาท เติบโต 101.89% จากปีก่อน
ด้านนายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า CEYE มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และจุดเด่นจากความเชี่ยวชาญของผู้บริหารในอุตสาหกรรมมากกว่า 30 ปี ไม่หยุดนิ่งในการขยายบริการให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า จากจุดเริ่มต้นในธุรกิจให้บริการผลิตภาพนิ่งสำหรับสื่อโฆษณาเป็นสัดส่วนรายได้หลักเพียงธุรกิจเดียว ในช่วง 5 ปีก่อน จึงได้เริ่มต่อยอดมายังบริการผลิตวีดีโอ เพื่อนำเสนอคอนเทนต์โฆษณาในช่องทางที่หลากหลายมากขึ้น และสามารถสร้างยอดขายให้เติบโตต่อเนื่องในทุกปี แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดย ณ สิ้นปี 64 CEYE มีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจให้บริการผลิตภาพนิ่ง 50.07% บริการผลิตภาพเคลื่อนไหว 26.73% บริการตกแต่งภาพด้วยคอมพิวเตอร์ 11.50% บริการให้เช่าสตูดิโอ 3.82% และบริการอื่นๆ รวมประมาณ 5.50% ได้แก่ ธุรกิจผลิตสื่อออนไลน์ และการบริหารสื่อออนไลน์ ซึ่งถือเป็นธุรกิจใหม่ที่จะเข้ามาเสริมรายได้ในระยะยาว
อย่างไรก็ดี ในยุคหลังโควิด-19 ความต้องการงานครีเอฟทีฟคอนเทนต์โฆษณากลับมาเป็นปกติ ส่งผลให้บริษัทพร้อมเก็บเกี่ยวงานโปรดักชั่นได้อย่างเต็มที่ และนอกจากนี้ CEYE ได้วางแผนนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ขยายอาคารสำนักงานแห่งใหม่ ลงทุนในอุปกรณ์การผลิต และโครงการในอนาคต เพื่อเข้าสู่ธุรกิจต้นน้ำถึงปลายน้ำ สนับสนุนโอกาสให้ CEYE เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ และสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนในการเข้าซื้อขายวันแรก และในอนาคต
นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า การเสนอขายหุ้น IPO ของ CEYE ในช่วงที่ผ่านมา จำนวน 70 ล้านหุ้น ในราคาเสนอขาย 3.86 บาทต่อหุ้น ได้รับการตอบรับจากนักลงทุนเกินกว่าคาดหมาย ตอกย้ำถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นในปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำรวม 4 บริษัทหลักทรัพย์ จัดทำบทวิเคราะห์และประเมินกรอบราคาเหมาะสมของ CEYE อยู่ในกรอบที่ 4.20-4.60 บาทต่อหุ้น ซึ่งยังไม่นับรวมโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่งของบริษัทในอนาคต โดยบทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ประเมินราคาเหมาะสมในปี 2565 ที่ราว 4.54 บาทต่อหุ้น ด้วยวิธี PER โดยใช้ Prospective PER ที่ระดับ 21 เท่า เมื่อเทียบกับหุ้นที่ประกอบธุรกิจคล้ายคลึงกันในกลุ่มสื่อและสิ่งพิมพ์ (SET) ที่ระดับ 47.34 เท่า และกลุ่มบริการ ( mai) ที่ระดับ 35.49 เท่า และประมาณกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2565 ราว 0.216 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็นราคาเหมาะสมเท่ากับ 4.54 บาทสำหรับปี 2565
******