บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์:
Home Product Center Plc. บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)
กำไรปีนี้ทำสถิติสูงสุดใหม่ สูงกว่าปี 62 ก่อนวิกฤตโควิด
- กำไร 1Q65 +10.8% YoY แม้ยอดขาย +4.7% YoY มาจากมาร์จิ้นสูงขึ้น และรายได้พื้นที่เช่า +26.6%YoY
- ผู้บริหารมั่นใจกำไรปีนี้สูงกว่าปี 62 และทำสถิติสูงสุดใหม่ แม้เงินเฟ้อฉุดต้นทุนขนส่งและค่าแรงเพิ่มขึ้น
- เป็น 1 ในหุ้นค้าปลีกที่มีผลประกอบการแข็งแกร่ง และมีแผนรองรับการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว บวกกับราคาปัจจุบันมี Upside 23.2% ยืนยัน ซื้อ
ประเด็นการลงทุน
- กําไร 1Q65 +10.8% YoY แม้ยอดขาย +4.7% YoY มาจากมาร์จิ้นสูงขึ้น และรายได้พื้นที่เช่า +26.6%YoY ยอดขายสาขาเดิมของโฮมโปรในไทย +3.14% YoY และมียอดขายที่เพิ่มขึ้นจากสาขาใหม่ +0.65% YoY ยอดขายที่เพิ่มขึ้นในส่วนของเมก้าโฮม โฮมโปรมาเลเซียอีกราว +1.4% ขณะ Gross Margin เพิ่มขึ้น 26 bps. เป็นผลจากการเพิ่มสัดส่วนยอดขายสินค้า Private Brand มากขึ้นโดย 1Q65 ขึ้นมาอยู่ที่ 20.4% จากทั้งปี 64 ที่ 19.5% ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายสั่งสินค้านำเข้าจากประเทศจีนในปริมาณมากขึ้น เพื่อป้องกันสินค้าไม่เพียงพอขายจากปัญหาความล่าช้าในการนำเข้าจากประเทศจีน เนื่องจากมีบางเมืองในประเทศจีนถูกล็อกดาวน์ อย่างไรก็ตาม สินค้าที่บริษัทสั่งผลิตไม่ได้อยู่ในเมืองดังกล่าว แต่การนำเข้าอาจมีความล่าช้ากว่าปกติ เพราะมีการปรับเปลี่ยนเมืองท่าในการขนส่งสินค้า กลยุทธ์ในการตุนสินค้านำเข้า Private Brand มากกว่าปกติ น่าจะเพียงพอรองรับความต้องการของลูกค้าได้ในปีนี้ ขณะในส่วนของรายได้พื้นที่เช่าที่เติบโตสูงถึง +26.6% YoY เกิดจาก 1Q65 กลับมาจัดงาน Home Pro Expro ที่เมืองทองธานีอีกครั้ง ทำให้มีรายได้พื้นที่เช่าเพิ่มเติม 10% หากไม่รวมงาน Home Pro Expo รายได้พื้นที่เช่าเติบโตเหลือ 16.6% YoY เกิดจากรายได้พื้นที่เช่าฟื้นตัว โดยเฉพาะที่ Market Village หัวหิน ซึ่งเป็นพื้นที่ท่องเที่ยว และมีพื้นที่เช่าเพิ่มขึ้นจากสาขาใหม่ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมรายได้พื้นที่เช่าเฉลี่ยต่อตรม.ยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิดราว 15-20% เพราะพื้นที่เช่าร้านค้ารายย่อย และพื้นที่เช่าจัดกิจกรรมต่างๆ ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งคาดจะทยอยดีขึ้นเป็นลำดับ
- ผู้บริหารมั่นใจกำไรปีนี้สูงกว่าปี 62 และทำสถิติสูงสุดใหม่ แม้เงินเฟ้อฉุดต้นทุนขนส่งและค่าแรงเพิ่มขึ้น ปัญหาราคาน้ำมันและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ผู้บริหารคาดจะกระทบกำไรราว 0.4% โดยราคาน้ำมันดีเซลที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ต้นทุนขนส่งเพิ่มขึ้น และกระทบกำไรราว 0.2% ภายใต้สมมติฐาน ราคาน้ำมันดีเซลขึ้นมาอยู่ที่ 35 บาท/ลิตร ขณะคาดเงินเฟ้อจะกดดันภาครัฐปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ คาดจะกระทบกำไรราว 0.2% เช่นกัน โดยพนักงานส่วนใหญ่ของบริษัทมีรายได้สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำ ผลกระทบจึงค่อนข้างน้อย ทั้งนี้บริษัทได้มีการทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าตั้งแต่ต้นปี โดยเฉพาะสินค้า Private Brand เพื่อรองรับต้นทุนที่มีแนวโน้มสูงอยู่แล้ว โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายสินค้า Private Brand จะขยับขึ้นจาก 19.5% เป็น 20.5% เพื่อขยับเพิ่ม Gross Margin ราว 20-30 bps. ผนวกกับบริษัทมี Key Business Focus ปีนี้ มี 3 เรื่องหลัก คือ
1) เพิ่มยอดขายจากการขยายสาขาใหม่ในปีนี้ โฮมโปร 2 สาขา เมก้าโฮม 5 สาขา มีแผนเปิด 2H65 การอัพเกรดและรีโนเวทสาขาเดิม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละโลเคชั่น การขายผ่าน Shopee Lazada และ One Stock Home ซึ่งเป็นแหล่งรวมการขายออนไลน์ และการทำระบบ Smart Sale
2) นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่าง โดยการเพิ่มความหลากหลายทั้งตัวผลิตภัณฑ์และดีไซน์ผ่านสินค้า Private Brand
และ 3) เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยนำเทคโนโลยีใหม่ๆ มาใช้เพิ่มช่วยเพิ่มยอดขาย และลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
คําแนะนํา
เป็น 1 ในหุ้นค้าปลีกที่มีผลประกอบการแข็งแกร่ง และมีแผนรองรับการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว บวกกับราคาเป้าหมายปี 65 ซึ่งอยู่ที่ 18 บาท มี Upside 23.2% ยืนยัน ซื้อ โดยแผนกลยุทธ์เชิงรุกของบริษัทในปีนี้ บวกกับฐานกำไรที่ต่ำมากในงวด 3Q64 คาดจะช่วยผลักดันให้กำไรปีนี้กลับมาเติบโตได้ราว 15% YoY และสูงกว่าปี 62 ราว 1.5% ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท
ปัจจัยเสี่ยง
การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ อาจมีความรุนแรงมากกว่าคาด และอยู่ในวิสัยที่ไม่อาจควบคุมได้จนนำไปสู่การล็อกดาวน์ปิดห้างชั่วคราวอีกครั้งในปีนี้ ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น อาจกระทบกำลังซื้อในประเทศ