บล.ทรีนีตี้:
เอราวัณ กรุ๊ป– ERW ขาย Ibis 3 แห่ง ขยาย Hop Inn เพิ่ม กลุ่ม Luxury ฟื้นตัวเร็วขึ้น
- คาด ERW รายงานขาดทุนสุทธิ 1Q65 ที่ 329 ล้านบาท จากที่ขาดทุนสุทธิ 246 ล้านบาท ใน 4Q64 และฟื้นตัวจากที่ขาดทุนสุทธิ 492 ล้านบาทใน 1Q64
- กลุ่ม Hop Inn กลับมามีผลประกอบการใกล้เคียงระดับ Pre-COVID โดยที่มีอัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ 70%
- กลุ่ม Luxury ยังมี RevPar ต่ำกว่าระดับ Pre-COVID ราว 70% แต่เริ่มเห็นสัญญาณที่ฟื้นตัวจากการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
- เพิ่ม Model ธุรกิจเปิดรับ Franchise สำหรับแบรนด์ Hop Inn ตั้งเป้า 100 แห่ง ในปี 2568
- คาดขาดทุนสุทธิปี 2565 ลดลงมาอยู่ที่ 811 ล้านบาท
- ปรับคำแนะนำจาก “ซื้อเก็งกำไร” เป็น “ถือ” ที่ราคาเป้าหมาย 3.40 บาท
1Q65 Earnings Preview
- คาด ERW รายงานขาดทุนสุทธิ 1Q65 ที่ 329 ล้านบาท จากที่ขาดทุนสุทธิ 246 ล้านบาท (ขาดทุนจากการดำเนินงานปกติ 371 ล้านบาท) ใน 4Q64 และฟื้นตัวจากที่ขาดทุนสุทธิ 492 ล้านบาทใน 1Q64
- คาดรายได้รวมที่ 591 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 5% QoQ แต่ปรับตัวสูงขึ้น 57% YoY โดยการปรับตัวลดลง QoQ มาจากช่วงระงับมาตรการ Test&Go ก่อนกลับมาใช้อีกครั้งในเดือน ก.พ. 2565 และใน 4Q64 มีกำไรพิเศษจากการขายโรงแรม ทั้งนี้ การฟื้นตัว YoY มาจากการเดินทางที่เพิ่มขึ้นในประเทศ และการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติหลังจากมีการผ่อนคลายมาตรการเดินทาง
- คาดอัตราการเข้าพักใน 1Q65 (ไม่รวม Hop Inn) อยู่ที่ 30% เท่ากับ 4Q64 แต่มี ADR สูงขึ้นราว 10% QoQ โดยกลุ่ม Luxury มีอัตราเข้าพักที่ 60% จากการฟื้นตัวของลูกค้ากลุ่มท่องเที่ยว และ Business
- คาดอัตราการเข้าพักของกลุ่ม Hop Inn อยู่ที่ 67% สูงขึ้นจาก 4064 ที่ 59%
รายได้หลักใน 1H65 ยังคงเน้นลูกค้า Domestic
ในช่วง 1H65 คาดรายได้หลักยังมาจากลูกค้า Domestic โดยผลประกอบการของกลุ่ม Hop Inn เริ่มใกล้เคียงช่วง Pre-COVID โดยมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยที่ 70% และ ERW อยู่ระหว่างการขายโรงแรมอีก 3 แห่ง (IBIS Style Krabi, IBIS Kata และ IBIS Hua Hin) ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสิ้นใน 2Q65 โดยการขายโรงแรมครั้งนี้จะส่งผลให้ ERW สามารถขยายโรงแรมกลุ่ม Hop Inn ได้มากขึ้น โดยในปี 2565 ERW จะมีการเปิดให้บริการ Hop Inn อีก 8 แห่ง (ในประเทศ 6 แห่ง และที่ ฟิลิปปินส์ 2 แห่ง) อย่างไรก็ดี RevPar ของกลุ่มโรงแรม Luxury ยังคงต่ำกว่าระดับ Pre-COVID ถึง 70% แต่เริ่มเห็นการฟื้นตัวของ ADR หลังจากมาตรการ Test&GO และเริ่มเปิดประเทศ โดยคาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวจะสามารถกลับสู่ระดับปี 2562 (Pre-COVID) ได้ราวปี 2567 ส่งผลให้การท่องเที่ยวในประเทศยังเป็นกำลังหลังของรายได้ และในช่วงปี 2564 แสดงให้เห็นว่าอัตราการเข้าพักของกลุ่ม Hop Inn สามารถอยู่ในระดับ Pre COVID-19 แล้ว และมีการฟื้นตัวที่รวดเร็วกว่าโรงแรมกลุ่มอื่น
ปรับคำแนะนำจาก “ซื้อเก็งกำไร” เป็น “ถือ” ที่ราคาเป้าหมาย 3.40 บาท
ปรับคำแนะนำจาก “ซื้อเก็งกำไร” เป็น “ถือ” ที่ราคาเป้าหมาย 3.40 บาท จากการอิง P/BV ที่ 2.6X หลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา 24% YTD จากการ Priced in การฟื้นตัวของกลุ่มท่องเที่ยวจากมาตรการ Test&Go ในช่วงที่ผ่านมา และการเปิดรับนักท่องเที่ยวเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 2565 โดยเราคาดว่าผลประกอบการของ ERW ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วง 3Q64 มองการฟื้นตัวในปี 2565 จากกลุ่ม Hop Inn ทั้งในประเทศและจากฟิลิปปินส์เป็นหลัก คาดขาดทุนสุทธิในปี 2565 จะลดลงสู่ระดับ 811 ล้านบาท และจะสามารถพลิกเป็นกำไรได้ในปี 2566
ปัจจัยเสี่ยง
- ความไม่สงบทางการเมืองในประเทศอาจส่งผลให้การท่องเที่ยวหดตัว
- ความยืดเยื้อของ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก
- เศรษฐกิจโลกมีโอกาสเข้าสู่ Recession
- การใช้เงินอย่างระมัดระวังของผู้บริโภค