บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):

T.A.C. Consumer (TACC.BK/TACC TB)

ประมาณการ 1Q65F: คาดว่ากำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่

Event

ประมาณการ 1Q65F

Impact

คาดว่ากําไรใน 1Q65F จะทำสถิติสูงสุดใหม่

เนื่องจากการผ่อนคลายข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจจากการระบาดของ COVID-19 ใน 1Q65 เราจึงคาดว่าผลประกอบการของ TACC จะออกมาดีมากใน 1Q65F โดยมีกำไรสุทธิ 59 ล้านบาท (+26.3% YoY, +1.9% QoQ) ซึ่งเมื่ออิงตามประมาณการของเรา กำไรสุทธิใน 1Q65F จะคิดเป็น 22.6% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเราที่ 260 ล้านบาท เราคาดว่า TACC จะมีรายได้จากยอดขายและบริการ 358 ล้านบาท (+10.0% YoY, +1.0% QoQ) ในขณะที่คาดว่าต้นทุนขายและบริการจะอยู่ที่ 220 ล้านบาท (+5.5% YoY +1.8% QoQ) โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะยังแข็งแกร่งอยู่ที่ 38.5% จาก 35.9% ใน 1Q64 และ 39.0% ใน 4Q64 ทั้งนี้ นอกจากข้อจำกัดในการดำเนินธุรกิจที่ลดลง YoY แล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นที่ช่วยหนุนให้อัตรากำไรของ TACC แข็งแกร่งอีก ได้แก่ i) สัดส่วนยอดขายที่ดีเนื่องจากยอดขายสินค้าที่มี margin สูง จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจที่มี margin สูง อย่างเช่น All Cafe และ B2C ii) สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี (วัตถุดิบ, logistic และการประหยัดต่อขนาดจากการขยายสาขาร้าน 7-Eleven อย่างต่อเนื่อง) และ iii) คุมค่าใช้จ่าย SG&A ได้ดี

ยังคงมองว่า TACC จะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2565

สำหรับแนวโน้มใน 2Q65 เราคาดว่าผลการดำเนินงานจะแข็งแกร่งขึ้นในช่วงหน้าร้อนของประเทศไทย ทั้งนี้ เนื่องจากมีข้อจำกัดลดลงหลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการป้องกันโรคระบาดลงในปี 2565 เราจึงมองบวกกับแนวโน้มธุรกิจของ TACC โดยคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้น YoY และเรายังคาดว่า platform ธุรกิจของบริษัทจะเติบโตขึ้นทั้งในส่วนของธุรกิจ B2B และ B2C โดยปัจจัยสำคัญที่จะหนุนธุรกิจ B2B ได้แก่ i) การขยายสาขาร้าน 7-Eleven อย่างต่อเนื่องปีละ 700 ร้าน ii) ปริมาณยอดขายของ All Cafe เพิ่มขึ้น และ iii) การออกรสชาติตามฤดูกาลใหม่ๆ ส่วนธุรกิจ B2C เรายังคงมองว่าจะฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง หลังเผชิญกับสถานการณ์ COVID-19 ในช่วงสองปีที่ผ่านมา โดยจะมาจากธุรกิจ cafe และบริการอาหาร (ได้แก่ กาแฟมวลชน, Black Canyon, Jungle Café, CP Fresh Mart, Arabitia, กาแฟพันธุ์ไทย, Lotus’s)

คาดว่ากำไรจะโตเฉลี่ย 17.6% CAGR ในปี 2565-2566F

จากแนวโน้มที่เป็นบวกในปี 2565-2566F เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565F เอาไว้เท่าเดิมที่ 260 ล้านบาท (+21.5% YoY) และปี 2566F ที่ 296 ล้านบาท (+13.7% YoY) อย่างไรก็ตาม ถ้าราคาวัตถุดิบขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องใน 2H65 อาจะทำให้มีความเสี่ยงที่กำไรปีนี้จะออกมาต่ำกว่าประมาณการกำไรของเราได้ ส่วนใน 1H65 TACC ได้ล็อกราคาต้นทุนวัตถุดิบเอาไว้เรียบร้อยตั้งแต่ปลายปี 2564 แล้ว ซึ่งหมายความว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ขยับสูงขึ้นอยู่ในขณะนี้จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ

Valuation & Action

เนื่องจากเราคาดว่า ROE จะอยู่ในระดับที่น่าพอใจระหว่าง 34.2%-37.3% ในปี 2565-2566 ดังนั้น เราจึงยังคงคำแนะนำซื้อ โดยประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 10.50 บาท (อิงจาก PE ที่ 24.5x เท่ากับค่าเฉลี่ย -0.25 S.D.)

Risks

ราคาวัตถุดิบแพงขึ้น, COVID-19 ระบาด และเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้

- Advertisement -