บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY

TP upside (downside) +30%

Close May 6, 2022 Price (THB) 4.76

12M Target (THB) 6.20

What’s new?

  • KAMART พร้อมกลับมาเติบโต หลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย ดันอุปสงค์ของสินค้าความงาม เครื่องสำอางสูงขึ้น
  • คาดกำไรปกติ 1Q65 ที่ 62 ลบ. (-0.1% QoQ, +48% YoY) ทรงตัว QoQ และฟื้นตัว YoY จากการเพิ่มช่องทางจำหน่ายการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และการรุกตลาดใหม่ เช่น สินค้าที่ใช้ใน ครัวเรือน ปี 2565 คาดกำไรปกติโต 76% YoY
  • การเข้าไปลงทุนในบริษัท ป่า ดอนพุทรา หนุนรายได้เพิ่มมากกว่า 200 ล้านบาท/ปี

Our view

  • เรามีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการของ KAMART ที่จะฟื้นตัวในปี 2565 เป็นต้นไป
  • ปัจจุบัน KAMART ซื้อขาย PER65 ที่ 18x ซึ่งถูกสุดในกลุ่มเมื่อเทียบกับ DDD และ BEAUTY ที่ซื้อขาย PER65 ที่ 58x และ 50x ตามลำดับ
  • เราประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2565 ที่ 6.20 บาท ด้วยวิธี DCF ถึงสมมติฐาน WACC ที่ 6.1% และคาดผลตอบแทนจากเงินปันผลในปี 2565 ที่ 3%

KARMARTS กลับมาทวงบัลลังค์ด้านความงาม…กำไรกลับมาโดดเด่น

ผู้นำในธุรกิจผลิตภัณฑ์ด้านความงาม

KAMART ถือเป็นหนึ่งในผู้นำในการจัดหา พัฒนา และจำหน่ายสินค้ากลุ่มเครื่องสำอาง, ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว อุปกรณ์ความงาม, และอื่นๆ ที่มีประสบการณ์ยาวนานมากว่า 10 ปี โดยทาง KAMART เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้าของแบรนด์เอง เช่น Cathy Doll, Baby bright, และ Skynlab+ เป็นต้น โดยสินค้าส่วนใหญ่จะมีราคาระดับกลาง  เน้นให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงและจับต้องสินค้าได้ง่าย โดยมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ตามคอนเซ็ปต์ของแต่ละแบรนด์ เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคทุกกลุ่มได้อย่างครอบคลุม โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมายหลักจะเป็นกลุ่มวัยรุ่น วัยทำงาน นอกจากนี้ KAMART มีการปรับตัวอยู่เสมอ ในปี 2563-2564 การแพร่ระบาด COVID-19 ได้ส่งผลกระทบกับกลุ่มเครื่องสำอางโดยตรง KAMART ได้มีการปรับแผนแตกไลน์สินค้าใหม่หมวด Personal Care หมวด Household และหมวดน้ำหอมขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้รับกับสถานการณ์ที่คนใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้นแทนการเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มเครื่องสำอาง

แนวโน้ม 1Q65 ฟื้นตัวดี YoY

เราคาดรายได้ใน 1Q65 ที่ 457 ล้านบาท +17% QoQ และ +34% YoY จากสถานการณ์ของ COVID-19 เริ่ม คลี่คลาย ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตประจำวันออกข้างนอกบ้าน ความต้องการของเครื่องสำอางปรับตัวสูงขึ้น และยังมีการบำรุงผิวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น รวมถึงทางบริษัทมีแผนเพิ่มสัดส่วนช่องทางการขายผ่านทางร้านค้ากลุ่ม Traditional Trade ให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 35% ของรายได้ อีกทั้งใน 1Q65 นี้จะเริ่มรับรู้รายได้ของบริษัทย่อยที่เพิ่งเข้าไปร่วมลงทุน และมี Margin สูง เราคาดกำไรปกติที่ 62 ล้านบาท -0.1% QoQ และ +48% YoY ทรงตัว QoQ และฟื้นตัวดี YoY จากการเพิ่มช่องทางจำหน่าย การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และการรุกตลาดหมวดสินค้าใหม่ เช่น สินค้าที่ใช้ในครัวเรือน นอกจากนี้ ประสิทธิภาพในการทำกำไรปรับตัวดีขึ้นจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และผลจากนโยบายการควบคุมต้นทุน ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 53% จาก 48% ใน 4Q64 และ 51% ใน 1Q64

คาดผลประกอบการปี 65 จะกลับมาเติบโตโดดเด่น

แนวโน้มปี 2565 เราคาดกำไรปกติจะฟื้นตัวก้าวกระโดด 76% YoY เป็น 231 ล้านบาท จากการขยายธุรกิจทั้งใน ประเทศและต่างประเทศ โดย 1) อ้างอิงจากแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมที่จะมี CAGR อยู่ที่ 5-8% 2) รายได้หนุนจากการขายหน้าดิน 400 ไร่ ที่มี magin สูง 3) การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพิ่มช่องทางจำหน่ายในประเทศ และเพิ่มการทำการตลาดในตลาดต่างประเทศ และ 4) การรุกตลาดใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Household แบรนด์ 7Clean

การลงทุนในธุรกิจใหม่ น่าสนใจ

ทาง KAMART มีการไปลงทุนในบริษัท ป่า ดอนพุทรา จำกัด ซื้อที่ดินประมาณ 700 ไร่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ 1) การ ปลูกป่า ไม้ยืนต้น และผลิตภัณฑ์การเกษตร คาดใช้พื้นที่ 300 ไร่ และ 2) การอนุรักษ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ที่ใกล้สูญ พันธุ์ คาดใช้พื้นที่ในการขุดเพื่อทำบ่อประมาณ 400 ไร่ ซึ่งดินที่ขุดขึ้นมาสามารถขายเพื่อสร้างรายได้ในช่วงระยะ 5 ปีแรกได้ โดยบริษัทให้ข้อมูลว่าพื้นที่ที่ขุดจะสามารถนำหน้าดินไปขายได้ประมาณ 20 ล้าน ลบ.ม. และรายได้จากตรงส่วนนี้จะมีการรับรู้รายได้ที่ค่อนข้างเร็ว โดยจะเริ่มสร้างรายได้ตั้งแต่ 1Q65 ในปีนี้ โดยประมาณการรายได้ต่อปีราว 200 ล้านบาทต่อปี และคาด Margin อยู่ที่ประมาณ 70% สูงกว่ารายได้จากหมวดอื่นๆ

แนะนํา “ซื้อ”

เรามองว่า KAMART มีความน่าสนใจ ด้วยธุรกิจอยู่ในช่วงขาขึ้นกลับมาเติบโตมีการพัฒนาออกสินค้าใหม่ตลอด  รวมถึงเพิ่มความหลากหลายธุรกิจด้วยการลงทุนในบริษัทย่อย เราประเมินมูลค่าพื้นฐานในปี 2565 ด้วยวิธี DCF อิงสมมติฐาน WACC ที่ 6.1% จะได้มูลค่าที่เหมาะสมที่ 6.20 บาท ปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ P/E เพียง 18x และคาดผลตอบแทนจากเงินปันผลในปี 2565 ที่ 3%

การประเมินมูลค่า

เราประเมินมูลค่า KAMART ด้วยวิธี DCF อิงสมมติฐาน ที่ WACC 6.1% โดยใช้ Terminal growth 1% และ Beta ที่ 0.85 ได้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ของ KAMART ที่ 6.20 บาทต่อหุ้น เทียบเท่ากับ PER ที่ 24 เท่าซึ่งราคาปัจจุบัน ของ KAMART ซื้อขาย PER65 ที่ 18 เท่า ยังถูกสุดในกลุ่มเมื่อเทียบกับ DDD และ BEAUTY ที่ซื้อขาย PER65 ที่ 58 และ 50 เท่าตามลำดับ เราคาดปันผลปี 2565 ที่ 0.13 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทน 3% เราจึงเริ่มต้นคำแนะนำ “ซื้อ”

เราประเมิน รายได้ปี 2565 และ 2566 ที่ 1,752 และ 1,874 ล้านบาท เติบโต 36% YoY และ 7% YoY จาก

1) การรุกตลาดเพิ่มช่องทางการขายผลิตภัณฑ์ในประเทศและจับมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อเข้าถึงตลาดในต่างประเทศที่มีแนวโน้มเติบโต เช่น ประเทศญี่ปุ่น

2) การออกผลิตภัณฑ์ที่แปลกใหม่ รวมถึงสร้างแบรนด์ที่หลากหลาย มีจุดเด่น และมีเป้าหมายกลุ่มลูกค้าแบบชัดเจน

3) การเติบโตแบบ Inorganic Growth ผ่านการลงทุนในบริษัทย่อยที่ช่วยเพิ่มความหลากหลายทางธุรกิจ อีกทั้ง มีการรับรู้รายได้เร็ว และ Margin สูง

4) ธุรกิจยังอยู่ในเทรนการเติบโตที่สูง อ้างอิงจากรายงานของ Euromonitor การเติบโตของธุรกิจผลิตภัณฑ์บำรุง ผิวหน้า และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางของประเทศไทย ในระยะเวลา 4 ปี (2565 -2568) จะเติบโตเฉลี่ย 5% และ 7% ต่อปี ตามลำดับ

เราคาดกำไรปกติปี 2565 ที่ 231 ล้านบาท (+76% YoY) และปี 2566 ที่ 272 ล้านบาท (+18% YoY)

ความเสี่ยงที่สําคัญ

1. ความเสี่ยงจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรง แม้ว่าจะมีการเติบโตของอุตสาหกรรมที่สูงเช่นกัน

2. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค

3. ความเสี่ยงจากการพึ่งพิงผู้ผลิตน้อยราย

4. ความเสี่ยงจากการลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์ เนื่องจากบริษัทไม่มีนโยบายผลิตสินค้าด้วยตัวเอง และใช้วิธีสั่งการผลิตจากผู้ผลิตที่มีความเชี่ยวชาญ

5. ความเสี่ยงจากการพึ่งพิงแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่งเป็นหลัก

6. ความเสี่ยงจากการด้อยค่าของสินค้าคงคลัง จากการลดความนิยมในผลิตภัณฑ์นั้นๆ

7. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน เนื่องจากมีการจำหน่ายสินค้าไปยังต่างประเทศและการสั่งซื้อสินค้าในต่างประเทศ

- Advertisement -