SNNP ประกาศงบไตรมาส 1/65 สุดหรู กวาดรายได้กว่า 1,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.9% กำไรสุทธิพุ่งแตะ 105 ล้านบาท หลังคลายล็อกดาวน์ พร้อมส่งสินค้าใหม่สุดฮิตออกสู่ตลาด ทั้งขนม น้ำผลไม้ผสมกัญชา เผยมีกระแสตอบรับเป็นอย่างดี หนุนยอดขายโต รวมทั้งสามารถควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มั่นใจแนวโน้มยอดขายเติบโตต่อเนื่อง ลุ้นผลงานไตรมาสหน้านิวไฮ พร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ออกสู่ตลาด ทั้งขยายฐานรุกตลาดต่างประเทศเพิ่ม เล็งจัดตั้งโรงงานใหม่ในอินโดนีเซีย
นายวิโรจน์ วชิรเดชกุล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานธุรกิจในประเทศ บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SNNP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทงวดไตรมาส 1/65 มีรายได้รวม 1,133 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 111 ล้านบาท หรือ 10.9% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,022 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 105 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจากธุรกิจหลัก 113 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53 ล้านบาท หรือ 89.3% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิจากธุรกิจหลัก ซึ่งไม่รวมกำไรพิเศษ 60 ล้านบาท โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดขายที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง หลังบริษัทส่งสินค้าใหม่บุกตลาด และควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“รายได้และกำไรในไตรมาส 1/65 เติบโต โดยได้รับปัจจัยหนุนจากยอดขายในประเทศที่โตต่อเนื่องติดต่อกันจากช่วงปลายปีไตรมาส 4 โดยฟื้นตัวมากๆ ในช่องทางของโมเดิร์นเทรด และสินค้าใหม่ที่ออกมา ได้แก่ เจเล่ชิววี่ น้ำกัญชาสกัดเมจิกฟาร์ม ขนมรูปน่องไก่โลตัส ผสมใบกัญชา และขนมรูปน่องไก่โลตัส ผสมเมล็ดกัญชง รวมถึงโลตัสหนังไก่ถอด ช่วยให้ยอดขายในประเทศเติบโต ทำให้ตลาดขนมคบเคี้ยวมีความคึกคัก ได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มผู้บริโภค แม้จะเผชิญสถานการณ์ราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 64 แต่อัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 1/65 ก็ปรับตัวดีขึ้นที่ 27.4% จากปีก่อนหน้า 26.3% จากการควบคุมประสิทธิภาพในการผลิตที่ดี และการเน้นในการออกสินค้าใหม่ที่ให้คุณค่าแก่ผู้บริโภคที่สูงขึ้น และมีอัตรากำไรที่ดีขึ้นเช่นกัน ส่วนตลาดต่างประเทศก็ฟื้นตัวดีทุกประเทศ โดยยอดขายในต่างประเทศเติบโต 26.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ในภาพรวมของยอดขายของบริษัทเติบโต 10.9% เมื่อเทียบกับยอดขายที่ปรับปรุงแล้วในปีก่อนหน้า” นายวิโรจน์ กล่าว
สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ ตั้งเป้ารายได้แตะที่ระดับ 5,000 ล้านบาท และลุ้นผลงานเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งโดยปกติในช่วงไตรมาสที่ 2 และช่วงปลายปีเป็นช่วงไฮซีซันในการขายสินค้าของบริษัท ซึ่งน่าจะเติบโตได้ดี ทำให้มั่นว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ของปีนี้มีโอกาสที่ผลดำเนินงานจะทำสถิติสูงสุดใหม่ โดยเฉพาะช่องทางโมเดิร์นเทรดที่ซบเซามานานในช่วงโควิด-19 ประกอบกับบริษัทมีแผนปรับโฉมสินค้าแบรนด์หลักของบริษัท เพื่อเป็นการสร้างกระแสให้กับกลุ่มผู้บริโภคครั้งใหญ่ในช่วงไตรมาส 3 ที่จะถึงนี้ รวมถึงตลาดต่างประเทศที่บริษัทขยายช่องทาง และลงทุนสร้างฐานธุรกิจไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเวียดนาม กัมพูชา หรือประเทศส่งออกอื่นๆ ก็น่าจะเติบโตได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกไตรมาส
ทั้งนี้ บริษัทเตรียมจัดตั้งโรงงานแห่งใหม่ในอินโดนีเซีย เพื่อผลิตสินค้าเพื่อขายในประเทศอินโดนีเซีย คาดว่าจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้อย่างเร็วภายในปลายปีนี้ หรือไม่เกินช่วงครึ่งปีแรกของปี 2566 ซึ่งจะช่วยผลักดันรายได้และกำไรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง
******