บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action TRADING (Downgrade)

TP upside (downside) -5.86%

Close May 13, 2022 Price (THB) 4.78

12M Target (THB) 4.50

What’s new?

  • STI ประกาศกำไรสุทธิ 1Q65 อยู่ที่ 30 ล้านบาท ลดลง 27% QoQ และลดลง 25% YoY จากการรับรู้รายได้ของโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่ชะลอตัว
  • คาดกำไรสุทธิ 2Q65 จะเริ่มฟื้นตัวได้ จากงานโครงการใหม่ที่ได้รับ และการรับรู้รายได้จากโครงการที่ดีเลย์มาจาก 1Q65

Our view

  • คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YoY และคาดกำไรสุทธิปี 2566 ที่ 175 ล้านบาท โต 11% YoY
  • คงราคาเหมาะสมปี 2565 หลังขึ้น XD ที่ 4.50 บาท อิง PER ที่ 17 เท่า และปรับลดคำแนะนำจาก “ซื้อ” เป็น “Trading”

STONEHENGE INTER งบ 1Q65 ชะลอ จะกลับมาซื้อเมื่อมี Upside

งบ 1Q65 ลดลงทั้ง QoQ และ YoY

STI ประกาศกำไรสุทธิ 1Q65 ที่ 30.1 ล้านบาท ลดลง 27% QoQ และลดลง 25% YoY สาเหตุหลักยังมาจากรายได้ที่ชะลอตัว เนื่องจากโครงการขนาดใหญ่มีการขยายระยะเวลาดำเนินงานออกไป จากผลของสถานการณ์โรค COVID-19 ที่ระบาดรุนแรง ทำให้การรับรู้รายได้ลดลง อัตรากำไรขั้นต้นยังทรงตัวได้เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่ 31% และดีขึ้นเล็กน้อยจาก 30% ใน 1Q64 เป็นผลจากการควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด ในส่วนของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคิดเป็น 19% ของรายได้รวมใน 1Q65 เพิ่มขึ้นจาก 18% ของรายได้รวมใน 4Q64 และ 16% ของรายได้รวมใน 1Q64 เนื่องจากมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับพนักงานเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับธุรกิจที่คาดว่าจะขยายตัวในปีนี้ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 7.2% ใน 1Q65 ลดลงจาก 9.5% ใน 4Q64 และ 8.8% ใน 1Q64

Backlog ยังทรงตัว ที่ 4,000 ล้านบาท

ปัจจุบัน STI มี Backlog รวมอยู่ที่ราว 4.0 พันล้านบาท เป็นของกลุ่ม STI ที่ 1.7 พันล้านบาท และ AEC ประมาณ 2.3 พันล้านบาท โดยมีงานที่คาดว่าจะได้รับภายใน 2Q65 ได้แก่ งานที่ปรึกษาโครงการรถไฟรางคู่สายเหนือเด่นชัย-เชียงราย และสายอีสานบ้านไผ่-นครพนม รวม 2 โครงการ มูลค่าราว 800 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ Backlog ของ STI จะมีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ และคาดว่า Backlog จะเร่งตัวขึ้นใน 2H65 จากงานประมูลโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่จะเร่งประมูลให้ได้ภายในปีนี้ ได้แก่ งานโครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ทั้งบนดิน และใต้ดิน เป็นต้น

คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565-2566 ที่ 158 ล้านบาท และ 175 ล้านบาท

เราคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% YoY จากงานภาครัฐและภาคเอกชนที่จะกลับมาเร่งตัว หลังจากชะลอไปในปี 2564 เนื่องจากผลกระทบของ COVID-19 และคาดกำไรสุทธิปี 2566 โต 11% YoY เป็น 175 ล้านบาท โดยมี Upside จากงานภาคเอกชน เนื่องจากปัจจุบัน STI ได้รับงานของภาคเอกชนที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งงานภาคอสังหาริมทรัพย์จำพวกคอนโด และงานที่ปรึกษาการก่อสร้างโรงพยาบาลอีกหลายแห่ง เป็นต้น และนอกจากนี้ คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจากงานภาครัฐจะค่อยๆ ฟื้นตัว จากผลของ Leaning curve ที่ทำงานได้ดีขึ้นต่อเนื่อง โดยกำไรสุทธิ 1Q65 คิดเป็น 19% ของกำไรสุทธิที่เราคาดทั้งปี

ปรับคำแนะนำลงจาก “ซื้อ” เป็น “Trading”

เราคงราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 4.50 บาท (ราคาหลังขึ้น XD) อิง PER Multiplier ที่ 17 เท่า คิดเป็น +0.5 S.D. ของค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 15 เท่า เมื่อเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบันที่ปรับตัวขึ้นจนเต็มมูลค่าพื้นฐานแล้ว โดยซื้อขายบน PER2565 ที่ 18.2 เท่า เราจึงปรับลดคำแนะนำลงเป็น “Trading” แต่เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการในระยะยาว และยังมี Upside จากงานใหญ่ของภาครัฐและเอกชนที่คาดว่าจะเร่งลงทุน ซึ่งทำให้เรามีโอกาสปรับประมาณการขึ้นได้ในอนาคต โดยจะกลับมาแนะนำซื้ออีกครั้งเมื่อราคาหุ้นพักฐาน จนทำให้ Upside เปิดกว้างมากพอ

ความเสี่ยง – การชะลอตัวของเศรษฐกิจและงานก่อสร้าง รวมไปถึงต้นทุนค่าแรงที่ปรับขึ้นตามเงินเฟ้อ

- Advertisement -