บล.ไอร่า:
VNG วนชัย กรุ๊ป
คาด 2Q/65 ผลการดำเนินงานทรงตัว qoq และคาดเติบโตโดดเด่น qoq อีกครั้งใน 3Q/65
- แนวโน้มผลการดำเนินงาน 2Q/65 คาดใกล้เคียง 1Q/65 ซึ่งมีรายได้ขายและกำไรสุทธิ 3,540 ล้านบาท และ 323 ล้านบาท ตามลำดับ ภายใต้ความต้องการและราคาทั้ง MDF และ PB ในภูมิภาคที่ยังทรงตัว QoQ ขณะที่คาดยังคงประสบปัญหาการขนส่ง ทำให้มี Delay Shipment MDF จาก 1Q/65 ประมาณ 70,000 – 80,000 ลบม. พร้อมต้นทุน โดยเฉพาะกาว (ประมาณ 10% ของต้นทุนผลิต) +10%qoq และคาดยังได้รับผลกระทบจากสายการผลิต OSB ต่อเนื่องจาก 1Q/65 ซึ่งอยู่ระหว่างปรับปรุงเครื่องจักร ทำให้ไม่สามารถเดินเครื่องได้เต็มที่ โดยคาดต้นทุนเศษไม้ยังทรงตัว qoq
- คาดเห็นการเติบโตโดดเด่น qoq อีกครั้งใน 3Q/65 ภายใต้การรับรู้เต็มที่ (1) สายการผลิต OSB กำลังการผลิต 210,000 ลบม./ปี หลังปรับปรุงเครื่องจักรสามารถใช้เศษไม้ที่มีขนาดเล็กลง ลดปัญหาการแย่งเศษไม้จากโรงเลื่อย และช่วยลดต้นทุนไม้ลง 40 – 50% คาดช่วยให้ Margin ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ราคาขาย OSB สูงกว่า MDF ประมาณ 20 – 25% และ (2) COD สายการผลิตแผ่นไม้อัด Plywood กำลังการผลิต 60,000 ลบม./ปี
- VNG มีการบริหารต้นทุนทั้งปรับปรุงเครื่องจักรและประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ทําให้ VNG สามารถใช้วัตถุดิบเป็นไม้ทั้งต้น ซึ่งช่วยลดปัญหาการขาดแคลนเศษไม้ในช่วงที่โรงเลื่อยหยุดผลิต และคาด ปี’65 ได้ประโยชน์จากโรงไฟฟ้าชีวมวล 9.9MW COD เมื่อก.ย.’64 รวมถึง Solar Roof Phase 4 เพิ่มจาก 9MW เป็น 12.7MW คาดช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าประมาณ 120 ล้านบาท และ 50 ล้านบาท ตามลำดับ และแผนลงทุน Logistic เพื่อลดค่าขนส่งคาดเริ่ม 2Q/65 ภาพรวมคาดช่วยลดความเสี่ยงจากราคาวัตถุดิบ ต้นทุนพลังงาน และราคาน้ำมันได้บ้าง โดย VNG มีเป้าหมาย Gross Profit Margin ในปี’65 เฉลี่ยใกล้เคียงปี’64 ประมาณ 25% ขณะที่ VNG คาดรายได้ขายเติบโต 15% ลดลงจากคาดหมายก่อนหน้า เติบโต 20 – 25%
- ประเมินราคาเป้าหมาย 13.20 บาท อิง PE 15X แนะนำ “ซื้อ” โดยคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,534 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% และ คาด VNG กลับมาจ่ายปันผล 2 ครั้ง/ปี คาด Div.Yield ปี’65 ประมาณ 5.4%
- ประเด็นความเสี่ยง (1) สถานการณ์การขนส่งผ่านเรือ Container ที่ยังไม่คลี่คลาย ซึ่ง VNG ส่งผ่านเรือ Bulk เพิ่มขึ้น คาดช่วยลดปัญหาลงได้บ้าง (2) ปัญหา New Supply ทั้ง MDF และ PB ที่อาจส่งผลต่อราคาขายปรับลดลง อย่างไรก็ตาม VNG เพิ่มผลิตภัณฑ์ที่มี Value Added คาดช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้บ้าง และ (3) สถานการณ์การแข่งขันอาจทำให้ไม่สามารถ Pass on ต้นทุนที่สูงขึ้น เช่น ค่า Fright ไปยังราคาขายได้ทั้งหมด