CIVIL ลุ้นผลประมูลงานโครงการเมกะโปรเจกต์ มูลค่ารวมกว่า 5,000-10,000 ล้านบาท หวังดัน Backlog เพิ่มขึ้นแตะระดับ 15,000-20,000 ล้านบาท พร้อมเริ่มดำเนินงานก่อสร้าง 7 โครงการที่ชนะการประกวดราคาในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา มูลค่ารวม 167 ล้านบาท ชูกลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพบริหารโครงการรวดเร็ว รุกงานเหมืองหิน หนุนธุรกิจผลิตวัสดุก่อสร้าง เตรียมเจรจาพันธมิตรสร้างการเติบโตแบบ New S-Curve ระบุที่ผ่านมาธุรกิจรับเหมาฯ เจอวิกฤติซ้อนวิกฤติ ต้องบริหารงานด้วยความระมัดระวัง จับตาสถานการณ์พลังงาน ค่าแรงพุ่ง ปรับกลยุทธ์มุ่งเน้นควบคุมต้นทุน

 

นายปิยะดิษฐ์ อัศวศิริสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ซีวิลเอนจีเนียริง จำกัด (มหาชน) หรือ CIVIL เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจช่วงไตรมาส 2/65 บริษัทมุ่งเน้นเข้าประมูลและรับงานขนาดใหญ่ ทั้งภาครัฐและงานเอกชน โดยอยู่ระหว่างรอผลการประมูลโครงการเมกะโปรเจกต์ มูลค่ารวมกว่า 5,000-10,000 ล้านบาท คาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้มูลค่างานในมือ (Backlog) เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ระดับ 15,000-20,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงติดตามปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบกับธุรกิจ อาทิ การขาดแคลนแรงงานก่อสร้าง ต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่มีความผันผวน รวมถึงสถานการณ์การเงินเฟ้อและค่าแรงงานที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์การบริหารงานก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถการกำไรของบริษัทให้อยู่ในระดับดี

“ที่ผ่านมาธุรกิจรับเหมาก่อสร้างได้พบกับวิกฤติซ้อนวิกฤติ และต้องบริหารงานด้วยความระมัดระวังอย่างมาก ทั้งสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทั้งด้านแรงงานและการขนส่ง สงครามรัสเซีย ยูเครน อันเป็นสาเหตุหลักของการปรับตัวสูงขึ้นของราคาวัสดุและพลังงาน อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาส 1/65 บริษัทได้ชนะการประกวดราคาและเข้าดำเนินการก่อสร้างจำนวน 7 โครงการ มูลค่ารวม 167 ล้านบาท”

ทั้งนี้ บริษัทวางแผนบริหารจัดการต้นทุนอย่างเต็มที่ มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพดำเนินงานก่อสร้างให้เสร็จอย่างรวดเร็วและมีคุณภาพ เพื่อให้สามารถรับรู้รายได้ภายในกรอบระยะเวลาของสัญญาโครงการ ซึ่งถือเป็นจุดเด่นของบริษัท โดยเฉพาะงานโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ที่บริษัทมีความคืบหน้าในการก่อสร้างสูงกว่าผู้รับเหมารายอื่น และมีความคืบหน้ามากกว่าแผนที่ได้วางไว้

ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงมุ่งมั่นสร้างรายได้จากธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การเริ่มดำเนินการเหมืองหินที่อยู่ในจังหวัดสระบุรีในช่วงไตรมาส 2/65 ซึ่งบริษัทเป็นผู้ถือประทานบัตร ทำให้มีแหล่งวัตถุดิบที่ใช้ในการก่อสร้างด้วยต้นทุนที่ต่ำลง เนื่องจากอยู่ใกล้กับโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน ตลอดจนมีรายได้จากการจำหน่ายหินให้กับบุคคลภายนอกเข้ามาอีกด้วย  นอกจากนี้ ยังมีการเจรจากับพันธมิตรหลายรายที่จะช่วยสร้าง New S-Curve เพื่อผลักดันการเติบโตในอนาคตให้กับบริษัท

สำหรับผลประกอบการผลประกอบการไตรมาส 1/65 บริษัทมีรายได้รวม 1,649.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 1,186.82 ล้านบาท จำนวน 462.60 ล้านบาท หรือ 38.98% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 40.31 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 69.15 ล้านบาท จำนวน 28.84 ล้านบาท หรือ 41.71% ขณะที่เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/64 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 17.82 ล้านบาท หรือ 79.24%

***********

- Advertisement -