บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY (maintain)

TP upside (downside) +27.3%

Close May 26, 2022 Price (THB) 21.40

12M Target (THB) 27.25

Previous Target (THB) 32.70

What’s new?

  • คงมุมมองเป็นกลางหลังการประชุม แม้ SYNEX จะได้รับผลกระทบจากการ Lockdown ในจีน แต่การกักตุน Inventory และการกระจายตัวของยอดขายที่หลากหลาย ทำให้ 2Q65 รายได้ยังโตได้
  • บริษัทฯ คงเป้าปี 2565 รายได้โต 15% YoY และ GPM ทรงตัวได้ ซึ่งดูท้าทายหลังความเสี่ยงมหภาคเริ่มสูงขึ้น

Our view

  • เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับลดราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ลงเป็น 27.25 บาทต่อหุ้น อิง PER 25x หรือ +1.0SD ของค่าเฉลี่ยในอดีต
  • ระยะสั้นหุ้นยังอยู่ในรอบการถูก De-rate PE Band แต่เริ่มมี Downside จำกัด รอ Catalyst ใหม่ เพื่อหนุนราคาหุ้นให้ฟื้นตัว
  • นักลงทุนระยะยาวอาจมองระดับราคาที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเป็นกรอบในการสะสมรอบใหม่

SYNNEX THAILAND ยังให้ “ซื้อ” ลงทุน แต่รอจังหวะเวลาอีกสักนิด

คงมุมมองเป็นกลางหลังการประชุม

ผลประกอบการ 1Q65: 1) กลุ่ม Communication Unit รายได้ทำได้ที่ 3.3 พันล้านบาท (-3% YoY) ยอดขาย iPhone น้อยลง ขณะที่ Gross profit ทำได้ที่ 108 ล้านบาท (+4% YoY) บน GPM ที่ 3.28% เทียบกับ 1Q64 ที่ 3.06% 2) กลุ่ม Consumer Business Unit รายได้ทำได้ 4.7 พันล้านบาท (+22% YoY) ขณะที่ Gross Profit ทำได้ที่ 247 ล้านบาท (+18% YoY) GPM ทำได้ที่ 5.25% เทียบกับ 5.42% ใน 1Q64 ยอดขายหนุนจากตลาด Gaming ที่เติบโตดี และ 3) Commercial Business Unit รายได้ทำได้ 1.7 พันล้านบาท (+32% YoY) ขณะที่ Gross Profit ทำได้ที่ 82 ล้านบาท (+16% YoY) GPM ทำได้ที่ 4.66% เทียบกับ 5.42% ยอดขายได้แรงหนุนจากความต้องการ Network Product ที่สูงขึ้นจากลูกค้ากลุ่ม Enterprise หลัง Office ต่างๆ กลับมาเปิดปกติ

ฐานะการเงิน: D/E Ratio ปรับขึ้นมาที่ 1.97% มาจากความจำเป็นต้อง Stock Inventory เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับ ปัญหาสินค้าขาดแคลน

ผลกระทบปัจจัยมหภาค: ผลกระทบจากค่าเงินบาท/US อ่อนค่า เงินเฟ้อ และราคาน้ำมัน แม้สินค้า IT จะสามารถผลักภาระไปให้ผู้บริโภคผ่านการตั้งราคาขาย แต่ราคาสินค้าที่สูงขึ้นส่งผลกระทบโดยอ้อมให้ลูกค้าซื้อสินค้าได้ยากขึ้น ทำให้ SYNEX ได้รับผลกระทบทางอ้อมแต่ยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้

ขณะที่การ Lockdown ในเมืองจีน ซึ่งเป็น Hubs ของ Consumer Electronic ใน 2Q65 ย่อมกระทบต่อการสั่งซื้อสินค้า อย่างไรก็ดี SYNEX มีการกระจายรายได้ที่ดีในหลากหลายกลุ่มสินค้า และมีการกักตุน Inventory ล่วงหน้า ทำให้ได้รับผลกระทบจํากัด

ตั้งเป้าเป็น No.1 IT Ecosystem: 1) ธุรกิจเดิมจะเพิ่ม Smartphone Brand เพิ่มอีก 1 Brand ภายในปีนี้ ยัง (ไม่เปิดเผยชื่อ) บริษัทฯ คาดหากเปิดตัวได้จะเริ่มรับรู้รายได้ใน 2H65 2) การเปิดตัวสินค้า House Brand ภายใต้ชื่อ Brand S-Gear เริ่มเปิดขายมาแล้ว 2 เดือน ภายใต้กลยุทธ์เน้นราคาที่แข่งขันได้ แบ่งเป็น S-Gear Mobile เน้นขาย Accessories มือถือ S-Gear Original เน้นขายอุปกรณ์คอม S-Gear Gaming จะเปิดตัวใน 3Q65 เน้นขายสินค้ากลุ่มเกมส์ 3) ตั้งบริษัทฯ Service Point Co.,Ltd เพื่อให้บริการ aftersales service เต็ม รูปแบบ โดยเฉพาะการทำ Professional service ให้กับกลุ่มลูกค้า Commercial business และจะปรับ Model ไปให้บริการในรูปแบบ Everything as a Service Business หมายถึงการให้เช่า Hardware แทนการ ขายขาด และ 4) แพลตฟอร์มสินค้า IT มือสอง “SWAPMART” อยู่ระหว่างการลงทุนด้านการตลาดและการ พัฒนาการ Platform เป้าหมายระยะยาวคือการ Raise Fund มากกว่าการหวังผลกำไรระยะสั้น

คง Guidance ปี 2565 แต่ท้าทายมากขึ้น: SYNEX Guide รายได้ 2Q65 เติบโต YoY แม้ได้รับผลกระทบ จากการ Lockdown ในจีน แต่บริษัทฯมีการเตรียม Inventory ไว้ล่วงหน้า และ Backlogs Commercial Group ที่แข็งแกร่ง สำหรับภาพทั้งปี 2565 บริษัทฯ คง Guidance การเติบโตของรายได้ที่ระดับ +15% YoY และ GPM ที่ระดับ 4.8% แต่ความเสี่ยงมหภาคทำให้เป้าหมายมีความท้ายทายมากขึ้น

หุ้นถูก De-rating ตามกลุ่ม Tech ทั่วโลก … รอเวลาอีกนิดก่อนจบรอบ Derating

หุ้นถูก De-rating จากระดับ +2SD หรือราว PER 30x ลงมาอยู่ที่ค่าเฉลี่ยหรือ PER ราว 18x ตามกลุ่ม Tech ทั่วโลกที่ตลาดมองว่าผ่านจุดที่ได้รับประโยชน์สูงสุดจาก COVID-19 ไปแล้ว แนวโน้มการเติบโตของสินค้า กลุ่มมือถือ และ IT ยุค post COVID-19 จะไม่เด่นเช่นเดิม และตลาดเริ่ม Price-in ความเสี่ยงที่เศรษฐกิจโลก อาจเกิด Recession ในระยะถัดไป หากเกิดขึ้นจะทำให้สินค้า IT ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฟุ่มเฟือยจะมีความต้องการลดลง

ภายใต้ความเสี่ยงทั้งหมด SYNEX ยังเป็นตัวแทนที่ดีของกระแส Internet of Things และการเติบโตของ Gaming ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยในระยะยาว เมื่อ Valuation ถูกปรับลดจากความเสี่ยงมหภาคทำให้เป็น โอกาสสะสมสำหรับนักลงทุนระยะยาว เรามองว่าราคาที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวเป็นจุดเริ่มทยอยสะสมที่น่าสนใจ

คงคำแนะนำ “ซื้อ” แต่ปรับลดราคาเหมาะสมเป็น 27.25 บาทต่อหุ้น

เราคงประมาณการปี 2565 ที่ 926 ล้านบาท (+7.6% YoY) อย่างไรก็ดี เราปรับลด PE-Band จาก 30x ลงเป็น 25% หรือจาก +2.0SD ลงเป็น +1.0SD เพื่อให้สะท้อนความเสี่ยงมหภาคที่สูงขึ้น เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” อิงราคาเหมาะสมใหม่ ณ สิ้นปี 2555 ที่ 27.25 บาทต่อหุ้น

เชิงกลยุทธ์ ราคาหุ้นที่ระดับใกล้เคียงค่าเฉลี่ยในอดีต ทำให้ Downside เริ่มจำกัด หุ้นจะน่าสนใจมากขึ้น หากเริ่มซื้อ ขาย ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย หรือหากแรงกดดันจากปัจจัยมหภาคคลายตัว ในระยะยาวหุ้นมีโอกาสกลับไปซื้อ ขาย ที่ระดับ +1SD เป็นไปได้หากพิสูจน์ตัวเองได้ว่าสามารถเติบโตได้ภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทายขึ้น ซึ่งในมุมมองของเราเชื่อว่าบริษัทฯทำได้

ความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ 1) ปรับตัวพัฒนาสินค้าไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี 2) ภาวะ Supply Shortage ลากยาวกว่าคาด และ 3) เศรษฐกิจชะลอตัวแรง

- Advertisement -