บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):
KCE Electronics (KCE.BK/KCE TB)* มีหลายปัจจัยหนุน
Event
อัพเดตแนวโน้มอุตสาหกรรม และบริษัท
Impact
อุตสาหกรรม EV จะโดดเด่น
จากบทวิเคราะห์อุตสาหกรรมของ KGI Taiwan เรื่อง “Auto parts sector: EV a clear bright spot amid near-term challenges” ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2565 ยอดขายรถยนต์โลกใน 1Q65 ลดลงเหลือ 19.63 ล้านคัน (-5.9% YoY) เนื่องจากปัญหาในสายโซ่อุปทาน และอุปสรรคในภาคการผลิต ทำให้ทีมวิจัย KGI Taiwan ปรับลดประมาณการยอดขายรถยนต์โลกปี 2565 ลงเหลือ 81.13 ล้านคัน (ทรงตัว YoY) แต่อย่างไรก็ตาม ยอดขายรถ EV ยังโตโดดเด่นในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2565 ที่ 1.15 ล้านคัน (+93% YoY) โดยยอดขายในจีนในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้เติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 139% YoY ทั้งนี้ ถึงแม้จะคาดว่าปัญหาการขาดแคลน semiconductors ในอุตสาหกรรมยานยนต์จะยืดเยื้อไปจนถึงปี 2566F แต่ทีมวิจัย KGI Taiwan ยังมองว่าชิ้นส่วนรถ EV และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในอุตสาหกรรมยานยนต์ยังมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ดี โดยคาดว่ายอดขายรถ EV ปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 10.73 ล้านคัน (+65% YoY) ในขณะที่คาดว่าอัตราการใช้รถ EV (penetration rate) จะอยู่ที่ 13.2% และเพิ่มเป็น 22.8% ภายในปี 2568
มีหลายปัจจัยที่จะช่วยหนุนผลการดำเนินงาน
ยอดคำสั่งซื้อสินค้าของ KCE ใน 2Q65 น่าจะยังฟื้นตัวได้ดีท่ามกลางสภาวะที่ยอดขายรถยนต์โลกแผ่วลง จากปัจจัยเฉพาะของบริษัทที่เกิดจากการเพิ่มกำลังการผลิต และยอดคำสั่งซื้อที่แข็งแกร่งต่อเนื่องไปจนถึงเดือนกันยายน โดยคำสั่งซื้อที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งใน 2Q65 จะทำให้ KCE เกิดการประหยัดต่อขนาด ซึ่งเมื่อประกอบกับเงินบาทที่อ่อนค่าลง (อัตราแลกเปลี่ยน QTD อยู่ที่ 33.80 บาท/ดอลลาร์ฯ จาก 32.90 บาท/ดอลลาร์ฯ ใน 1Q65) จะทำให้อัตรากำไรของ KCE เพิ่มขึ้น ดังนั้น เราจึงคาดว่ากำไรสุทธิใน 2Q65 จะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ในขณะเดียวกัน เนื่องจาก 70% ของรายได้ทั้งหมดเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ และบริษัทมีการขยับไปหาผลิตภัณฑ์ที่มี margin สูง ดังนั้น เราจึงคาดว่า KCE จะได้อานิสงส์จากกระแสโลกในด้านของยานยนต์ไฟฟ้า
Valuation & action
เรายังคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2565 ของ KCE ที่ 75.00 บาท ใช้ PER ที่ 33.0x (เท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีต +1.0 S.D. หรือคิดเป็น PEG ที่ 1.6x)
Risks
ภัยธรรมชาติ, มีการปิดโรงงานนอกแผน, ลูกค้าเปลี่ยนไปสั่งสินค้าจาก supplier รายอื่น, ขาดแคลนวัตถุดิบ, เงินบาทแข็งค่าขึ้น (เราใช้สมมติฐานอัตราแลกเปลี่ยนปี 2565-66 ที่ 33.50 บาท/ดอลลาร์ฯ)