บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action BUY (Maintain)
TP upside (downside) +26.5%
Close Jun 1, 2022 Price (THB) 16.60
12M Target (THB) 21.00
Previous Target (THB) 23.50
What’s new?
- เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 2Q65 ที่ 130 ล้านบาท ทรงตัว QoQ แต่ลดลง YoY จาก 1) GPM ที่ยังไม่ฟื้นตัวจากระดับ 12.2% ใน 1Q65 และ 2) ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่
- ปรับประมาณการปี 2565 ลงราว 12% เป็น 577 ล้านบาท (-5% YoY) จาก 1) GPM ที่ยังถูกกดดันจากการเปิดเมืองของจีน 2) การเลื่อนกำหนด COD โรงงานแห่งใหม่ในไทยออกไปเป็นช่วงปลาย 4Q65 และ 3) ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ราว 100 ล้านบาท แต่คาดกำไรปกติจะกลับมาเติบโตสูงในปี 2566 จากการ COD โรงงานใหม่ในไทยและเวียดนาม
Our view
- ตลาดมีการ De-rate PBV ของบริษัทที่ทำธุรกิจฟิล์ม BOPP ลงราว 1SD (เช่นจากเดิมซื้อขาย +2SD เหลือ +1SD) หลังผ่านช่วงของการ Turnaround ไปแล้ว เราจึงปรับ PBV ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า AJ ลงเป็น 1.8x เทียบเท่าค่าเฉลี่ย PBV +1.5SD สูงกว่ากลุ่ม เนื่องจากสินค้าของ AJ มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับการลงทุนแบบ ESG รวมถึงบริษัทฯอยู่ในช่วงของการขยายกำลังผลิตและตลาด ซึ่งจะเป็นแรงหนุนการเติบโตในระยะยาว
- ปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปีเป็น 21.00 บาท/หุ้น ยังมี Upside ราว 26.5% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
A. J. PLAST PCL รอแรงหนุนจากเวียดนามในปี 2566
เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 2Q65 ทรงตัว QoQ แต่ลดลง YoY
จากการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับทางบริษัทฯ ปริมาณขายรวมมีแนวโน้มทรงตัว QoQ และอัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับ 1Q65 ที่ราว 12.2% โดยอัตรากำไรขั้นต้นยังไม่ฟื้นตัวกลับไปอยู่ในระดับ 13.0-14.0% เนื่องจาก 1) สถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครนมีแนวโน้มยืดเยื้อ ทำให้ระดับราคาน้ำมันโลกยังมีความผันผวน โดยความผันผวนที่สูงทำให้การปรับราคาขายของบริษัทฯเพื่อสะท้อนต้นทุนมีประสิทธิภาพลดลง และ 2) ในช่วงที่ต้นทุนวัตถุดิบต่างๆ ทั่วโลกมีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง AJ จึงมีการลด Margin ให้กับลูกค้าบางรายเพื่อรักษาฐานลูกค้า นอกจากนี้ค่าใช้จ่าย SG&A รายไตรมาสของ AJ ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงจากค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการก่อสร้างโรงงานสองแห่งใหม่ (เป็นค่าใช้จ่ายที่ยังไม่ก่อให้เกิดรายได้) ทำให้กำไรปกติ 2Q65 มีแนวโน้มทรงตัว QoQ และหากเทียบกับ 2Q64 กำไรปกติมีแนวโน้มลดลง YoY จากฐานที่สูง เพราะ 1) อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจาก 13.7% ใน 2Q64 และ 2) ค่าใช้จ่าย SG&A ที่เพิ่มขึ้นจากการก่อสร้างโรงงานใหม่ ในเบื้องต้นคาดกำไรปกติ 2065 ที่ราว 130 ล้านบาท +/-
กำไรปกติปี 2565 มีโอกาสลดลงเล็กน้อย YoY แต่จะกลับมาเติบโตสูงในปี 2566
ปรับประมาณการปี 2565 ลงราว 12% เป็น 577 ล้านบาท (-5% YoY) จาก 1) การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ตั้งแต่ช่วงปลาย 2Q65 จะส่งผลให้ราคาของเม็ดพลาสติก PP และ PET ที่เป็นวัตถุดิบหลักของบริษัทฯ ปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (การผลิตเม็ดพลาสติกต้องใช้เวลา Ramp up) และมีโอกาสทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯ ลดลงในช่วงปลาย 2Q65 – ต้น 3Q65 2) ผลของการ Lockdown ในจีนทำให้กำหนดการในการ COD โรงงานแห่งที่ 2 ในไทยเลื่อนออกไปจากช่วงต้น 4Q65 เป็นช่วงปลาย 4Q65 (การส่งมอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้ในการติดตั้งระบบล่าช้า) จึงคาดการ COD ของโรงงานดังกล่าวจะยังไม่มีนัยยะ ต่อผลประกอบการปี 2565 และ 3) บริษัทฯ มีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโรงงานในปี 2565 ที่ราว 100 ล้านบาท +/- ทำให้ค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้นราว 12% YoY อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการของ AJ จะกลับมาเติบโตสูงในปี 2566 ที่ 706 ล้านบาท (+22% YoY) จาก 1) การรับรู้รายได้จากโรงงานใหม่ในไทย และเวียดนามแบบเต็มปี 2) อัตรากำไรขั้นต้นของตลาดฟิล์ม BOPP ในเวียดนามที่ดีกว่าไทย (ผลของการใช้มาตรการ AD ของรัฐบาลเวียดนาม)
ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 21.00 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ”
ตลาดมีการ De-rate PBV ของหุ้นที่ทำธุรกิจผลิตฟิล์มประเภท BOPP เช่น Cosmo Films และ Uflex ลงราว 1SD (เช่นจากเดิมซื้อขายบนระดับ ค่าเฉลี่ย PBV +2SD ลงมาอยู่ในระดับค่าเฉลี่ย PBV +1SD) หลังมองว่ากลุ่มบริษัทฯ ดังกล่าวผ่านช่วงของการ Turnaround ไปแล้ว (ผลจากการแพร่ระบาดของ COVID-19) เราจึงปรับ PBV ที่ใช้ในการประเมินมูลค่า AJ ลงจากค่าเฉลี่ย PBV +2SD ลงมาเป็นค่าเฉลี่ย PBV +1.5SD ที่ 1.8x ทั้งนี้เรามองว่า AJ สามารถซื้อขายบนระดับ PBV +1.5SD ซึ่งสูงกว่ากลุ่มได้เนื่องจาก 1) บริษัทฯ มุ่งเน้นการขายสินค้าที่แบบ Mono Material ซึ่งสามารถนำไป Recycle ได้ง่ายรวมถึงมีสินค้าฟิล์มที่อยู่ในกลุ่ม Bio-based เพียงรายเดียวในไทยสอดคล้องกับกระแสการลงทุนแบบ ESG ที่มุ่งเน้นด้านความยั่งยืน และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 2) บริษัทฯมีโอกาสเติบโตสูงกว่ากลุ่ม เนื่องจากกำลังอยู่ระหว่างการขยายกำลังการผลิตและฐานลูกค้าไปยังตลาดที่มีอัตรากำไรขั้นต้นและการเติบโตสูง เช่น เวียดนาม เมื่อนำมารวมกับผลกระทบจากการปรับประมาณการลงทำให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ลดลงเป็น 21.00 บาท/หุ้น ยังมี Upside ราว 26.5% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”