GUNKUL ขานรับมาตรการสาธารณสุข หลังประกาศปลดล็อกกัญชง กัญชา ไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษ ระบุถือเป็นปัจจัยบวกต่อผู้ประกอบการตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ รวมถึงเป็นแรงกระตุ้นให้กัญชา กัญชง เข้าสู่พืชเศรษฐกิจ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะสำหรับการใช้ในทางการแพทย์ที่ปัจจุบันมีมูลค่าถึง 1 พันล้านเหรียญ ทั้งมีโอกาสเติบโตได้ถึงปีละ 100% ไปอีก 6-7 ปีข้างหน้า เผยแผนงาน จากที่บริษัทมีความได้เปรียบ ทั้งด้านต้นทุนพลังงาน พื้นที่เพาะปลูก การรันตีผลผลิตมีมาตรฐานและมีศักยภาพมากพอสำหรับการส่งออกเพื่อใช้ในทางการแพทย์ เตรียมส่งออกช่อดอกลุยตลาดโซนยุโรป อเมริกา มั่นใจดันผลงานโตก้าวกระโดด
ดร.สมบูรณ์ เอื้ออัชฌาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กันกุลเอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ GUNKUL เปิดเผยว่า จากการที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้พืชกัญชาไม่จัดเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 นับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2565 ซึ่งมีผลให้ทุกส่วนของกัญชา กัญชง ไม่เป็นยาเสพติดประเภท 5 ยกเว้นสารสกัดที่มี THC เกิน 0.2% ทำให้ประชาชนสามารถปลูกได้โดยไม่ต้องขออนุญาต แต่ต้องจดแจ้ง ซึ่งมองเป็นปัจจัยหนุนธุรกิจเกี่ยวกับกัญชา กัญชง
ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวถือเป็นผลบวกต่อบริษัทที่ดำเนินธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ รวมถึง GUNKUL ซึ่งจะสร้างความยั่งยืนในอนาคตได้ โดยผู้ที่จะได้รับประโยชน์มากที่สุดในช่วงแรกคือ ผู้ประกอบการกลุ่มต้นน้ำ (ผู้ปลูก) และกลางน้ำ (โรงสกัด) ที่คาดว่าจะเห็นรายได้เข้ามาก่อน ซึ่งจะมีอำนาจต่อรองราคาสูงและมีความเสี่ยงด้านการแข่งขันต่ำกว่าผู้ประกอบการกลุ่มปลายน้ำ (กลุ่มเครื่องดื่ม เครื่องสำอางค์)
“การปลดล็อกทั้งกิ่ง ก้าน ช่อดอก และเมล็ด ทำให้กัญชง กัญชา มีโอกาสกลายเป็นพืชเศรษฐกิจ เพราะปัจจุบัน Pfizer Johnson และบริษัทยาระดับ Top 10 ของโลกเจ้าอื่น กำลังสนใจในการนำกัญชง กัญชามาใช้ ซึ่งตลาดกัญชง กัญชาสำหรับการใช้ในทางการแพทย์ปัจจุบันมีมูลค่าที่ 1 พันล้านเหรียญ ซึ่งอาจเติบโตได้ถึงปีละ 100% ไปอีก 6-7 ปี ทำให้ตลาดกัญชง กัญชาเติบโตเป็น 3 แสนล้านเหรียญ”
ขณะที่ปัจจุบันราคารับซื้อช่อดอก Medical Grade โดยองค์การเภสัชกรรมอยู่ที่ 45,000 บาทต่อกิโลกรัม โดยต้นหนึ่งสามารถผลิตดอกออกมาได้ 250 กรัม คือ 1 ต้นมีมูลค่าเกือบ 1 หมื่นบาท ส่วนเมล็ดมีราคารับซื้อที่ 800-1,000 บาท โดย 1 ไร่ สามารถผลิตได้ 100 กิโลกรัม ซึ่ง GUNKUL มีเป้าหมายต้องการผลิตกัญชง กัญชา ระดับ Medical Grade เพื่อใช้ในทางการแพทย์ การควบคุมการเพาะปลูกจึงสำคัญมาก ซึ่งทำให้มีเคมีตรงกับกลุ่มนักปลูกกัญชงกัญชา (Grower) ที่ได้ร่วมมืออยู่ในปัจจุบันที่เน้นการปลูกแบบไม่มีการปนเปื้อน และมีการควบคุมที่ดี เช่น การปลูกแบบ Hydroponics การใช้น้ำ RO (Reverse Osmosis) การปลูกในวัสดุปลูกดินเผา การเพาะในโรงเรือนแบบกึ่งปิด เป็นต้น
“การเพาะปลูกกัญชาที่มีคุณภาพเท่านั้นถึงจะมีความยั่งยืน ซึ่งบริษัทมีข้อได้เปรียบทางด้านทรัพยากร คือมีต้นทุนด้านพลังงานที่ต่ำกว่า และมีพื้นที่เพาะปลูกจำนวนมาก และยังมีแหล่งน้ำเพียงพอ พื้นที่มีความแห้ง เย็น และมีอากาศถ่ายเท เนื่องจากใต้กังหันมีลมพัดผ่านตลอด เหมาะกับกัญชง กัญชา ที่ชอบอากาศประมาณ 20-30 องศา ส่วนการปลูกก็เป็นแบบ Hydroponics ใช้น้ำ RO การปลูกในวัสดุปลูกดินเผา การเพาะในโรงเรือนแบบกึ่งปิด ทำให้มั่นใจได้ว่า กัญชา กัญชงที่ GUNKUL เพาะปลูกมีมาตรฐานและมีศักยภาพมากพอสำหรับส่งออกเพื่อใช้การทางการแพทย์”
ขณะเดียวกัน บริษัทยังมีโปรเจ็กต์สร้างโรงงานสกัดที่ได้รับมาตรฐาน PIC/S (Pharmaceutical Inspection Co-operation Scheme) คือมาตรฐานการผลิตยาขั้นสูง ซึ่งเป็นมาตรฐานของสหภาพยุโรป (EU-GMP) ที่ใช้กันเป็นกฎหมาย โดยอ้างอิงตาม Guideline ของ WHO2003 สำหรับใช้ในการแพทย์แผนปัจจุบัน ที่คาดว่าจะพร้อมดำเนินการภายในปี 2566 เป็นเฟสถัดไป
นอกจากนี้ จากการที่ประเทศไทยมีความได้เปรียบในเรื่องอากาศที่ไม่เย็นจนเกินไป ทำให้มีต้นทุนในการควบคุมสภาพแวดล้อมน้อยกว่าเมื่อเทียบกับต่างชาติ GUNKUL จึงมีแผนใช้ความได้เปรียบตรงนี้ในการส่งออกช่อดอกแห้งแบบ Medical Grade เพื่อใช้ทางการแพทย์ส่งไปยังต่างประเทศโซนยุโรปและอเมริกา หลังจากการปลดล็อกช่อดอกที่จะมีผลวันที่ 9 มิถุนายนนี้
*****