FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 83.91 ปรับตัวลดลง 12.1% แต่อยู่ในเกณฑ์ทรงตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 นักลงทุนคาดหวังภาคท่องเที่ยวและเศรษฐกิจฟื้นตัวช่วยหนุนความเชื่อมั่น ขณะที่กังวลนโยบายดอกเบี้ยเฟด และสถานการณ์โควิด หลังเปิดประเทศ รวมทั้งความกังวลต่อสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ

 

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) จากผลสำรวจในเดือนพฤษภาคม 65 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า อยู่ที่ระดับ 83.91 ปรับตัวลดลง 12.1% จากเดือนก่อนหน้า อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 โดยนักลงทุนมองว่า การฟื้นต้วของภาคท่องเที่ยวจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศและผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน

สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ นโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED รองลงมาคือ ความกังวลต่อสถานการณ์โควิด-19 ที่อาจระบาดอีกครั้งหลังรัฐบาลเปิดประเทศ และความกังวลต่อสถานการณ์ขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน

ทั้งนี้ ผลสำรวจโดยสรุปคือ ดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ส.ค.65) อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว” (ช่วงค่าดัชนี 80-119) ลดลง 12.1% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 83.91 ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนบุคคล และกลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศอยู่ในระดับ “ทรงตัว” ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในระดับ “ซบเซา”

ส่วนหมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุดคือ หมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM) หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุดคือ หมวดแฟชั่น (FASHION) ด้านปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ การฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุดคือ นโยบายการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED

“ผลสำรวจเดือนพฤษภาคม 65 รายกลุ่มนักลงทุน พบว่า ความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มนักลงทุนบุคคลปรับเพิ่ม 7.1% อยู่ที่ระดับ 105.32 กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ทรงตัว อยู่ที่ระดับ 75.00 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด 2.8% อยู่ที่ระดับ 82.61 และความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนต่างชาติปรับลด 40.0% มาอยู่ที่ระดับ 60.00”

ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกของเดือนฤษภาคม 65 ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงตามตลาดโลก จากความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครนที่ยืดเยื้อ ซึ่งส่งผลต่อภาวะเงินเฟ้อที่ปรับตัวสูงขึ้นทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงความกังวลต่อการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกที่ช้ากว่าคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงครึ่งเดือนหลัง ตลาดทุนไทยปรับตัวได้ดีขึ้น จากการประกาศผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไทยที่ออกมาดีกว่าคาด ความคาดหวังต่อการฟื้นตัวต่อภาคท่องเที่ยวหลังรัฐบาลผ่อนคลายนโยบาย และนักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิต่อเนื่อง ส่งผลให้เดือนพฤษภาคมมีมูลค่าซื้อสุทธิ 20,938 ล้านบาท และซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปี 139,058 ล้านบาท ส่งผลให้ดัชนีฯ ปิดที่ 1,663.41 จุด ปรับตัวลดลงเล็กน้อย 0.2% จากเดือนก่อนหน้า

สำหรับปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ วิกฤติการเผชิญหน้าระหว่างมหาอำนาจ (Geopolitical Crisis) รวมถึงสถานการณ์รัสเซียยูเครนที่ยังคงยืดเยื้อ วิกฤติพลังงาน ซึ่งส่งผลกระทบให้เงินเฟ้อสูงในหลายประเทศ วิกฤติการขาดแคลนอาหารโลก แนวทางการรับมือกับเงินเฟ้อของ FED รวมถึงติดตามนโยบาย Zero-Covid ของรัฐบาลจีน ซึ่งกระทบต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอย่างมาก

ส่วนปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ แนวโน้มนโยบายการเงินของ ธปท. ที่อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น มาตรการของภาครัฐในการบรรเทาภาระค่าครองชีพที่สูงขึ้น และการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวจากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบในเดือนมิถุนายนนี้

*****

- Advertisement -