บล.ทรีนีตี้:
UAC GLOBAL – ยูเอซี โกลบอล (UAC)
ธุรกิจ Trading ฟื้นตัวจากลูกค้าโรงกลั่น
- ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ซื้อ แต่คงราคาเป้าหมายที่ 6.00 บาท โดยแบ่งเป็นมูลค่าธุรกิจเดิมที่ 5.40 บาท อิง PER เฉลี่ย 15 เท่า และธุรกิจน้ำมันอีก 0.60 บาท (WACC 10%, No Terminal value) 3 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลดลง 20% ซึ่งเราประเมินว่าเป็นการปรับลดลง หลังจากมีการเก็งกำไรจากการได้แหล่งสัมปทานน้ำมัน
- UAC รายงานกำไรสุทธิ 1Q55 ที่ 72 ล้านบาท -7% YoY, +32% QoQ ลดลง YoY จากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้นตามราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น QoQ จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น จากกลุ่มลูกค้าโรงกลั่น
- Gross Margin ใน 1Q65 ทรงตัว QoQ อยู่ที่ 11% (1Q64=19%, 4Q64=11%) แต่ลดลง YoY เกิดจากต้นทุนวัตถุดิบด้านเคมีภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น
- ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม Equity Income (บางจากไบโอฟูเอล “BBF”) อยู่ที่ 68 ล้านบาท -10% YoY, +5% QoQ ซึ่งคาดว่าจะเป็นผลของค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ
- คงประมาณการกำไรปี 2565 ที่ 238 ล้านบาท โดย 1Q65 คิดเป็น 30% ของประมาณการของเรา โดยแนวโน้มธุรกิจ Trading คาดว่าจะฟื้นตัวได้ดีจากกลุ่มลูกค้าโรงกลั่น ในขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจไบโอดีเซลอาจจะลดลง ทั้งจากปริมาณขายและราคาขายที่ลดลง
Result review: UAC รายงานกำไรสุทธิ 1Q65 ที่ 72 ล้านบาท -7% YoY, +32% QoQ ผลการดำเนินงานที่ สำคัญมีดังนี้
1. รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 510 ล้านบาท +52% YoY, +52% QoQ, จากกลุ่มลูกค้าโรงกลั่น ซึ่งเป็นลูกค้าของบริษัทเริ่มกลับมามี Operating rate ที่เพิ่มขึ้น เนื่องด้วยค่าการกลั่นที่เพิ่มสูงขึ้น Gross Margin ใน 1Q65 ทรงตัว QoQ อยู่ที่ 11% (1Q64=19%,4Q64=11%) แต่
2. ลดลง YoY เกิดจากต้นทุนวัตถุดิบด้านเคมีภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น
3. ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม Equity Income (บางจากไบโอฟูเอล “BBF”) อยู่ที่ 68 ล้านบาท -10% YoY, +5% QoQ ซึ่งคาดว่าจะเป็นผลของค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ โดยจากข้อมูล MD&A ของบริษัท BBGI ซึ่งถือหุ้น BBF อยู่ 70% ชี้แจงส่วนของธุรกิจไบโอดีเซลว่าใน 1Q65 มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 265 ล้านบาท +3% YoY, -11% QoQ เพิ่มขึ้น YoY เป็นผลของราคา B100 ที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปริมาณขายที่ลดลง ในขณะที่ลดลง QoQ เป็นผลของปริมาณขายที่ลดลงถึงแม้ราคาขายจะมีการปรับเพิ่มขึ้น แต่ไม่สามารถชดเชยได้ราคา B100 ใน 1Q65 อยู่ที่ 53.69 บาทต่อลิตร +30% YoY, +15% QoQ ในขณะที่ปริมาณขายอยู่ที่ 51 ล้านลิตร – 21% YoY, -12% QoQ
คงประมาณการกำไรปี 2565 ที่ 238 ล้านบาท
เราคงประมาณการกำไรปี 2565 ที่ 238 ล้านบาท โดย 1Q65 คิดเป็น 30% ของประมาณการของเรา โดยแนวโน้มธุรกิจ Trading คาดว่าจะฟื้นตัวได้ดี เพราะลูกค้าที่เป็นโรงกลั่นมีการผลิตได้อย่างต่อเนื่อง จากค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูง ในขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจไบโอดีเซลอาจจะลดลง จากปริมาณขายที่ลดลงจากความต้องการ B100 ที่ลดลงตามการใช้น้ำมันดีเซล เพราะราคาน้ำมันที่แพง และราคาขายที่ลดลง เพราะ supply ในตลาดโลกเพิ่มขึ้นจากอิโดนิเซียเริ่มส่งออกปาล์มเพิ่มขึ้น
คงราคาเป้าหมายที่ 6.00 บาท
ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น ซื้อ แต่คงราคาเป้าหมายที่ 6.00 โดยแบ่งเป็นมูลค่าธุรกิจเดิมที่ 5.40 บาท อิง PER เฉลี่ย 15 เท่า และธุรกิจน้ำมันอีก 0.60 บาท (WACC 10%, No Terminal value) 3 เดือนที่ผ่านมาราคาหุ้นปรับลดลง 20% ซึ่งเราประเมินว่าเป็นการปรับลดลง หลังจากมีการเก็งกำไรในช่วงของประกาศได้แหล่งสัมปทานน้ำมัน ซึ่งราคาหุ้นปรับขึ้นจากปลายเดือน ม.ค. ที่ 5 บาท ไปสูงสุดที่ 8.55 บาท เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 65
ความเสี่ยง: ความเสี่ยงจาก lock down, นโยบายภาครัฐ และความผันผวนของค่าเงินบาท
แนวโน้มผลส่วนแบ่งกำไรจาก BBF อาจจะอ่อนตัวในช่วงถัดไป
แนวโน้มของราคาปาล์ม และ CPO ในประเทศอาจจะเริ่มค่อยๆ ปรับตัวลงจากประเทศอินโดนิเซีย ซึ่งเป็นผู้ผลิตปาล์มรายใหญ่จะเริ่มมีการส่งออกปาล์มเพิ่มขึ้นในช่วงเดือน ก.ค. นี้ และมีการลดภาษีส่งออกจาก USD575/ton มาเป็น USD488/ton นอกจากนี้แนวโน้มการใช้น้ำมันดีเซลในประเทศอาจจะเริ่มลดลงด้วย เพราะผลกระทบจากราคาน้ำมันที่แพงขึ้น และเงินเฟ้อที่สูงมากขึ้น ส่งผลให้ประชาชนลดการใช้สินค้าที่ฟุ่มเฟือย ทั้งนี้เราประเมินส่วนแบ่งกำไรในปี 2565 ไว้ที่ 220 ล้านบาท
ได้แหล่งสัมปทานน้ำมันบนบก ช่วยเพิ่มกำไร 15-40 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2565 บริษัทได้รับโอนสิทธิสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมแปลงสำรวจบนบก หมายเลข L10/43 และ L11/43 บนเขตพื้นที่จังหวัดสุโขทัย โดยบริษัทถือสัดส่วน 70% และอายุสัมปทานสิ้นสุดปี 2576 โดยทางผู้บริหารประเมินว่า แหล่งปิโตรเลียมดังกล่าวสามารถผลิตน้ำมันดิบได้เฉลี่ยวันละไม่ต่ำกว่า 300 บาร์เรล/วัน และคาดว่าภายหลังการเข้าลงทุนแล้วจะสามารถผลิตน้ำมันได้ถึง 500 บาร์เรลต่อวัน ทำให้บริษัทสามารถทยอยรับรู้รายได้ ภายในไตรมาส 3/2565 เป็นต้นไป โดยคาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 300 ล้านบาทต่อปี เราประเมินกำไรที่จะได้เพิ่มอยู่ราว 15-40 ล้านบาทต่อปี บนสมติฐานการผลิต 300-500 บาร์เรล/วัน ราคาน้ำมัน USD70/bbl ทั้งนี้ความผันผวนของราคาน้ำมันยังเป็นปัจจัยความเสี่ยงของผลกำไรในอนาคต
ทั้งนี้ในปี 2565 เรายังไม่ได้รวมรายได้จากส่วนนี้ โดยเรารอความชัดเจนในการ Operate จากบริษัทอีกครั้งหนึ่งในช่วงไตรมาส 3/2565 แต่ถ้าประเมินว่าบริษัทสามารถเข้าดำเนินการได้เต็มไตรมาส 4/2565 ทั้งไตรมาส บนสมมติฐานราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงในขณะนี้ที่ USD100/bbl จะมีกำไรส่วนเพิ่มได้ราว 15 ล้านบาท