บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):
Healthcare Sector: เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน
Event
แนวโน้มกลุ่มโรงพยาบาลในช่วงที่เหลือของปี 2565
Impact
จะเปลี่ยนเป็น “โรคประจำถิ่น” ใน 2H65
ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจของกลุ่มโรงพยาบาลจะอยู่ที่การเปลี่ยนสถานะจาก “โรคระบาด” เป็น “โรคประจำถิ่น” ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 โดยยอดผู้ติดเชื้อใหม่รายวันที่นำโดยสายพันธุ์ Omicron ลดลงจากระดับสูงสุดที่ 23,800 รายในเดือนมีนาคม 2565 เหลือ 20,800 รายในเดือนเมษายน และลดลงเหลือ 6,400 รายในเดือนพฤษภาคม และ 2,500 ราย MTD (ณ วันที่ 20 มิถุนายน) โดยสถานการณ์ยังคงดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเหลือประมาณ 2,000 รายในเดือนมิถุนายน เราคิดว่าระดับนี้น่าจะเป็นระดับปกติ เมื่อพิจารณาจากรอบก่อนที่สายพันธุ์ Delta ระบาด ดังนั้น เราจึงคาดว่ารัฐบาลน่าจะสามารถเปิดประเทศเต็มรูปแบบตามเป้าได้ใน 2H65
จะยกเลิกการลงทะเบียน Thailand ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565
ชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน Thailand Pass และไม่ต้องทำประกันสุขภาพ 10,000 ดอลลาร์ฯ อีกต่อไป ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ซึ่งข้อกำหนดดังกล่าวถูกยกเลิก สำหรับคนสัญชาติไทยมาตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนแล้ว แต่ยังมีผลบังคับใช้กับชาวต่างชาติอยู่ นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคมเป็นต้นไป ทั้ง 77 จังหวัดในประเทศไทยจะเป็นพื้นที่สีเขียว ซึ่งสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติทั้งประเทศ และจะไม่มีข้อกำหนดเพื่อคุม COVID-19 อีกต่อไป เรามองเป็นพัฒนาการด้านบวกของไทยหลัง COVID-19 ตั้งแต่ 2H65 โดยเฉพาะในส่วนของผู้ป่วยต่างชาติ
โรงพยาบาลจะกลับมารักษาผู้ป่วยโรคอื่นๆ ที่ไม่ใช่ COVID
โรงพยาบาลขนาดกลางถึงเล็กได้อานิสงส์ไปเต็มๆ จากการที่ COVID-19 ระบาดในช่วงปี 2563-2564 โดยโรงพยาบาลเหล่านี้จัดเตรียม platform เพื่อรองรับการรักษาผู้ป่วยในช่วงที่ COVID ระบาดอย่างยืดเยื้อเกินความคาดหมาย (จากเดิมที่คาดกันทั่วไปว่าจะกินเวลาไม่ถึงสามเดือนเท่านั้น) นอกจากนี้ สัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 ในช่วงที่เกิดโรคระบาดของโรงพยาบาลเหล่านี้ยังคิดเป็นสัดส่วนถึง 40%-60% ในปี 2564 ดังนั้น การที่สถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ผ่อนคลายลงไป จะทำให้โรงพยาบาลส่วนใหญ่สามารถใช้สินทรัพย์ที่มีอยู่เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนไปรักษาผู้ป่วยโรคอื่นได้มากขึ้นตั้งแต่ 2Q65 เป็นต้นไป ทั้งนี้ รายได้จากบริการที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 ยังสูงอยู่ใน 1Q65 แต่อย่างไรก็ตาม เราคิดว่าสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนี้จะลดลงเหลือเพียง 20%-30% สำหรับโรงพยาบาลที่มีสัดส่วนรายได้จาก COVID-19 สูงใน 2Q65F และจะลดลงเหลือเพียงประมาณ 10%-15% ใน 2H65F เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทยไม่ค่อยรุนแรง
ยังคงคาดว่าผลประกอบการจะกลับมาเป็นปกติที่ระดับก่อน COVID ระบาดได้ใน 2H65
หลังจากที่สถานการณ์ COVID-19 มีพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้น เราจึงยังคงมองว่าโรงพยาบาลหลายแห่งจะเร่งเพิ่มกำไรจากบริการที่ไม่เกี่ยวกับ COVID ในช่วง 2H65 นอกจากนี้ เรายังคาดว่าอัตรากำไรของบริการด้าน COVID-19 ในโรงพยาบาลต่างๆ จะยังดีต่อเนื่อง แม้ว่าจำนวนผู้ป่วยจะลดลงก็ตาม
จะยังมีการให้บริการวัคซีนทางเลือกต่อไป แม้จะเข้าสู่ช่วงที่โรคนี้กลายเป็นโรคประจำถิ่น
สําหรับในระยะต่อไป การที่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและต่างชาติกลับมาใช้บริการรักษาโรคจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดแนวโน้มการเติบโตในอนาคตของกลุ่ม ทั้งนี้ หากอิงตามประมาณการของเรา รายได้จากการให้บริการวัคซีนทางเลือก (ได้แก่ Moderna) จะคิดเป็นสัดส่วน 2%-7% ของรายได้รวมในปี 2565F ซึ่งถือเป็นระดับที่ไม่มีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม ผู้คนยังคงต้องรับวัคซีนเข็มกระตุ้นต่ออีกในระยะยาว (เช่นเดียวกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่)
Valuation & Action
เรายังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่มโรงพยาบาลที่ Neutral โดยเราเลือก Bangkok Dusit Medical Services (BDMS.BK/BDMS TB) เป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มนี้ และประเมินราคาเป้าหมาย DCF ปี 2565F ที่ 31.00 บาท เนื่องจาก i) คาดว่ารายได้จากผู้ป่วยที่ไม่ได้ติด COVID จะฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องมาอยู่ระดับใกล้เคียงกับก่อน COVID ระบาดใน 1Q62 และ ii) มีโอกาสที่รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติจะเพิ่มขึ้น อีกจากการที่ประเทศไทยเปิดประเทศอย่างเต็มที่
Risks
COVID-19 ระบาด, เกิดเหตุก่อการร้ายครั้งใหญ่, เศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดไว้