บล.พาย:
CPALL บมจ.ซีพี ออลล์ “ได้รับผลดีจากสถานการณ์ปัจจุบัน”
เราปรับคำแนะนำขึ้นเป็น “ซื้อ” โดยประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 23 ได้ที่ 72.25 บาท (35XPER’23E) ด้วยปัจจัยบวกจากการได้รับผลดีจากสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินเฟ้อที่ทำให้ราคาขายปรับตัวสูงขึ้น และการกลับมาของนักท่องเที่ยว โดยไม่ว่าจะเป็นในประเทศที่ในเดือน ก.ค. จะปรับโควิดเป็นโรคประจำถิ่น และนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศหลังยกเลิกไทยแลนด์พาส ขณะที่ในแง่การขยายสาขายังโดดเด่น เบื้องต้นคาด 2Q22 เปิดในประเทศไม่ต่ำกว่า 200 สาขา
ได้รับผลดีจากสถานการณ์ปัจจุบัน
- เรามองว่าจากสถานการณ์ปัจจุบันที่เงินเฟ้อปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากจนถึงระดับ 7.1% ในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ทำให้สินค้าหลายรายการมีการปรับราคาขายขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยบวกสำหรับรายได้ของ CPALL ที่จะทำให้ยอดขายต่อสาขาเดิม (Same Store Sale Growth) เพิ่มขึ้น เห็นได้จากในช่วง 1Q22 เงินเฟ้อทำให้ SSSG เพิ่มขึ้นได้ประมาณ 2-3% จากทั้งหมดที่เติบโต 13% ซึ่งในช่วง 2Q22 คาดว่ายอด SSSG ยังคงสูงกว่า 10% ได้อีกไตรมาส
- นอกจากนี้ CPALL ยังได้รับผลดีจากมาตรการผ่อนคลายโควิดของภาครัฐ โดยเฉพาะการปรับเป็นโรคประจำถิ่น และการยกเลิกไทยแลนด์พาสสำหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวกลับมา ทำให้เรามองว่าสาขาที่อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักนอกเหนือจากกรุงเทพที่มีกว่า 15% จะมียอดขายที่กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง
- ด้านการเปิดสาขาใหม่ยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในช่วง 2Q22 จะเปิดอีกอย่างน้อย 200 สาขาในประเทศ
- นอกจากนี้ด้วยภาพการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวทำให้ผลประกอบการของทาง MAKRO และโลตัส ปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลดีต่อ CPALL ด้วยอีกทาง
2Q22 คาดโตได้ YOY หลังมีโลตัสเข้ามา
- แนวโน้มช่วง 2Q22 เบื้องต้นคาดกำไรจะเติบโตจากปีก่อนได้จากฐานที่ต่ำ และการรวมโลตัสเข้ามาใน Makro ส่วนหากเทียบกับ 1Q22 มีโอกาสเติบโตได้เช่นกัน จากผลดีของการเปิดเมืองและการที่ MAKRO มีการคืนเงินกู้ไปบางส่วน แต่อาจจะไม่มากนัก เพราะยังมีค่าใช้จ่ายในการรีแบรนด์โลตัสอยู่ (1Q22 มีกำไรสุทธิ 3,453 ลบ.)
- อย่างไรก็ตามด้วยกำไรในช่วง 1H22 คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 7,000 ลบ. คิดเป็นเพียง 40% ของทั้งปีที่เราคาดไว้เดิมที่ 17,072 ลบ. ทำให้เราอาจจะมีการปรับประมาณการลงหลังการประกาศผลประกอบการ แต่สำหรับปี 23 เรายังคงประมาณการณ์เดิมที่ 18,545 ลบ. (+9%YoY)
Revenue breakdown
โครงสร้างรายได้ของ CPALL แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มคือ 1.ร้านสะดวกซื้อภายใต้แบรนด์ 7-11 และ 2.กลุ่มร้านค้าส่งภายใต้แบรนด์ MAKRO และ 3.ร้านค้าปลีกภายใต้แบรนด์ โลตัส โดยกลุ่มที่ 3 จะรับรู้รายได้ผ่านการถือหุ้นใน MAKRO ที่ CPALL ถือหุ้น MAKRO สัดส่วน 60%