บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):
PFund-REITS-IFF มีทางเลือกการลงทุนเพิ่มขึ้น
Event
ประเทศไทยจะเริ่มเปิดประเทศเต็มที่ใน 2H65
Key highlights
ประเทศไทยจะเริ่มเปิดประเทศเต็มที่ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565
ประเทศไทยเริ่มเปิดประเทศบางส่วนมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 ซึ่งจากสถิติแสดงให้เห็นว่าอุปสงค์ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยมีแนวโน้มแข็งแกร่ง โดยจํานวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 7,900 คนต่อวันในเดือนพฤศจิกายน 2564 เป็น 55,200 คนต่อวัน MTD ในเดือนมิถุนายน 2565 สำหรับในระยะต่อไป ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่จำเป็นต้องลงทะเบียน Thailand Pass และไม่จำเป็นต้องทำประกันสุขภาพวงเงิน 10,000 ดอลลาร์ฯ แล้ว ซึ่งหมายความว่า การฟื้นตัวจะเร่งตัวขึ้น เนื่องจากไม่มีข้อจำกัดที่เกี่ยวข้องกับการคุม COVID-19 แล้ว ถือเป็นปัจจัยบวกสําหรับประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวต่างชาติจึงมีแนวโน้มดีขึ้น (ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ค้าปลีก นิคมอุตสาหกรรม และการขนส่ง)
ขนส่งมวลชน และ ค้าปลีก & สันทนาการ (Retail & Recreation) จะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ฟื้นตัวก่อน
จากตัวเลข Google Mobility (Figure 7 -10) เมื่อพิจารณาข้อมูลการเดินทางเป็นรายกลุ่มพบว่า บางกลุ่มจะได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศอย่างเต็มที่ใน 2H65 โดยกลุ่มแรกที่จะได้อานิสงส์ คือ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดังนั้น กลุ่มหลักที่จะได้ประโยชน์จากโมเมนตัมในประเด็นนี้ คือ ขนส่งมวลชนและค้าปลีก & นันทนาการ (Retail & Recreation) เราคิดว่ากลุ่มหลักที่จะได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของสถิติ Google Mobility คือ ขนส่ง ค้าปลีก และโรงแรม
เรายังคงเชื่อว่า กลุ่มขนส่งจะดีขึ้นหลังจากเผชิญกับโรคระบาดมาอย่างต่อเนื่องถึงสองปี โดย BTSGIF น่าจะแสดงสัญญาณที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2565 โดยกำไรสุทธิของ BTSGIF ใน 1Q-3Q63/64 อยู่ที่ 57 ล้านบาท, 343 ล้านาท และ 128 ล้านบาท ตามลำดับ เรามองว่า BTSGIF มีโอกาสจะฟื้นตัวได้ในอีกสองสามปีข้างหน้า หลังจากที่ถูกกระทบอย่างหนักจากสถานการณ์โรคระบาดมาสองปี
ค้าปลีก: แนะนํา ALLY และ CPNREIT
เราคาดว่ากำไรของธุรกิจค้าปลีกจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งมากขึ้นจากการเปิดประเทศ เรามองว่า ALLY มีความโดดเด่น แม้ว่าสถานการณ์จะไม่เอื้ออำนวยมาหลายปี โดยกำไรสุทธิใน 1Q65 อยู่ที่ 176 ล้านบาท (4.8% YoY, +104.4% QoQ) และเงินปันผล 1Q65 อยู่ที่ 0.16 บาท/หน่วย นอกจากนี้ เรายังมองว่า CPNREIT เป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนในกลุ่มนี้ จากแนวโน้มการฟื้นตัวหลังเปิดประเทศ เราคิดว่าส่วนลดที่ให้กับผู้เช่า (ปัจจุบันอยู่ที่ 15%-16%) จะถูกยกเลิกในปีหน้า ซึ่งจะทำให้กำไรดีขึ้นอย่างมาก และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลจะสูงขึ้น
โรงแรม: แนะนํา GROREIT, GAHREIT และ DREIT
เช่นเดียวกับกลุ่มขนส่ง และค้าปลีก เราคิดว่ากลุ่มโรงแรมจะได้อานิสงส์จากการฟื้นตัวในระยะต่อไป เราคิดว่า GROREIT, GAHREIT และ DREIT เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับการลงทุนในกลุ่มนี้ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงถึง 6%-9% ต่อปี
Recommendation
เราคิดว่าจุดเด่นจะยังคงเป็นกองทุนที่มีผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง และอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลน่าสนใจ โดยกองทุนระดับแนวหน้าที่เราแนะนำ ได้แก่ JASIF, DIF และ HREIT นอกจากนี้ เรายังชอบกองทุนระดับรอง ได้แก่ ALLY, GROREIT, CPNREIT และ BTSGIF
Risks
COVID-19 ระบาด, เศรษฐกิจชะลอตัว, ปัญหาเสถียรภาพทางการเมืองของไทย