บล.ทรีนีตี้

ซีพี ออลล์ – CPALL

คาดกําไรไตรมาส 2 ทรงตัว QoQ แต่ 2H65 แข็งแกร่งกว่า 1H65

  • คาดกำไรไตรมาส 2 ทรงตัว QoQ ที่ราว 3,500 – 3,600 ล้านบาท โดย SSSG คาดจะยังเติบโตได้ที่ 10%  แม้ว่าจะมีแรงกดดันจากเงินเฟ้อบ้าง แต่บริษัทได้ออกผลิตภัณฑ์ที่ราคาถูกลง แต่เน้นยอดขายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะยังคงทำให้ Spending per ticket เพิ่มขึ้นได้ รวมถึงจากการเปิดประเทศ และการที่โรงเรียนกลับมาเปิด และพนักงานกลับมาเข้าออฟฟิศ ซึ่งช่วยเพิ่ม SSSG ให้กับบริษัท
  • แนวโน้ม 2H65 แข็งแกร่งกว่า 1H65 จากการยกเลิกมาตรการ Thailand Pass คาดว่าจะเพิ่มยอดนักท่องเที่ยวใน 2H65 เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มยอดขายของ 7-11 ที่อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักๆ (คิดเป็น 15% ของสาขาทั้งหมด)
  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายสิ้นปีที่ 72 บาท มี Upside ราว 18.5%

มองครึ่งปีหลังแข็งแกร่งถึงแม้จะมีปัจจัยเรื่องเงินเฟ้อ

  • เงินเฟ้อเป็นปัจจัยที่ผู้บริหารยังคงติดตามอย่าใกล้ชิด โดยผลกระทบหลักๆ จะอยู่ที่ต้นทุนการขายจากปัจจัยทางด้านพลังงานที่มาจากค่าไฟและราคาน้ำมัน ซึ่งเรามองว่าจะมีผลกระทบไม่มาก ปัจจุบันสัดส่วนค่าใช้จ่ายด้าน utilities อยู่ที่ 8.5% (คิดเป็นค่าไฟและค่าน้ำมันประมาณ 5% และ 2% ของ consolidated SG&A 1Q65) ซึ่งการขึ้นของราคาน้ำมันดีเซลและค่าไฟคาดว่าจะมีผลกระทบต่อ SG&A สิ้นปีประมาณ 1.4%
  • เงินเฟ้อดันยอดขายผลิตภัณฑ์ “อิ่มคุ้ม” ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคในช่วงที่ค่าครองชีพสูง แต่ด้วยตัวผลิตภัณฑ์ที่มี margin ต่ำ ทำให้ gross margin ของยอดขายอาหารโดยรวมลดลง เหลือ 26% (26.3% ใน 1Q64) แม้ว่า Margin อาจจะลดลง แต่ถูกชดเชยด้วย Spending per ticket ที่จะเพิ่มขึ้น
  • เราประเมินแนวโน้ม 2Q65 SSSG จะยังเติบโตได้ที่ 10% และคาดว่าจะมีกำไรราว 3,500 – 3,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นทั้ง QoQ และ YoY เนื่องจากมีช่วงวันหยุดเทศกาลเยอะ รวมถึงการกลับมาเรียนที่โรงเรียน และการกลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ
  • แนวโน้ม 2H65 คาดว่าจะดีกว่า 1H65 จากการยกเลิกมาตรการ Thailand Pass คาดว่าจะเพิ่มยอดนักท่องเที่ยวใน 2H65 ราว 4.8 ล้านราย ซึ่งจะเพิ่มยอดขายของ 7-11 ที่อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยวหลักๆ (คิดเป็น 15% ของสาขาทั้งหมด) เราประมาณการกำไรปี 2565 ที่ 14,351 ล้านบาท + 10.5% และในปี 2566 ที่ 23,824 ล้านบาท +66% กลับเข้ามาสู่ระดับปกติก่อนช่วงโควิด

แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 72 บาท

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคา Fair Value สิ้นปี 2565 ที่ 72 บาท (อิงวิธี DCF ใช้ WACC 7%, TG 2.2%) โดยคาดว่าราคาปัจจุบันได้ผ่านจุดต่ำสุดของปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดย EV/EBITDA อยู่ระดับ Average 10 ปี -1.5SD ระยะสั้น 2Q65 คาดกำไรออกมาใกล้เคียงกับไตรมาสแรก ขณะที่ในระยะยาวตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังเป็นต้นไป มองภาพรวมพื้นฐานยังแข็งแกร่งมีโอกาสค่อยๆ ฟื้นตัวจากการเปิดประเทศ รวมถึงการที่โรงเรียนกลับมาเปิดและพนักงานกลับมาเข้าออฟฟิศ

ความเสี่ยง: เงินเฟ้อ, กำลังซื้อหดตัว, โควิดสายพันธุ์ใหม่

- Advertisement -