Our View? “ยังไม่มีกำลัง”

คาดตลาดวันนี้ยังเคลื่อนไหวใน “กรอบแคบ” ยังคงมีความกังวลต่อเศรษฐกิจถดถอย หลังล่าสุดสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขในเดือนมิ.ย. ภาคการผลิตลดลง ทั้ง PMI อยู่ที่ 52.7 ส่งสัญญาณการผลิตของสหรัฐขยายตัวในอัตราต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี และ ISM อยู่ที่ 53.0 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่เฟดสาขาแอตแลนตา คาด GDP -20/65 หดตัว 1% ต่อเนื่องจากหดตัว 1.6% เมื่อ 10/65 ซึ่งจะเป็นการหดตัว 2 ไตรมาส ติดต่อกัน ส่งสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐถดถอย เช่นเดียวกับเศรษฐกิจของ UK หลังตัวเลข PMI ได้รับผลกระทบจากการชะลอคำสั่งซื้อใหม่ ลดลงอยู่ในระดับต่ำสุดรอบ 2 ปี ที่ 52.8 ล่าสุด Bond Yield สหรัฐฯ อายุ 10 ปี ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือน ที่ 2.889% หลังเข้าซื้อพันธบัตร ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย พร้อมคาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากการส่งสัญญาณเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางหลายๆ ประเทศ รวมถึงเฟด และ ECB คาดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 10 ปี ในเดือนก.ค.นี้ (21/7/65) เพื่อสกัดเงินเฟ้อ คาดส่งผลต่อ Fund Flow ส่วนเกินไหลเข้าภูมิภาค รวมถึงไทย ลดลงในระยะถัดไป

ขณะที่คาดมีแรงเก็งกำไรกลับเข้ามาบ้างในหุ้นกลุ่มพลังงาน จากราคาน้ำมันล่าสุด WTI. ส่งมอบเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 2.67 ดอลลาร์ (+2.5%) อยู่ที่ 108.43 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังการประท้วงและการปิดล้อมยังคงส่งผลกระทบต่อการผลิตและการส่งออกน้ำมันดิบของประเทศลิเบีย ทำให้เกิดความกังวลว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะตึงตัว

อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นของราคาน้ำมันคาดยังเป็นไปอย่างว่ากัด จากความกังวลเศรษฐกิจโลกชะลอตัว พร้อมแนะติดตามผลการเจรจาข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐและอิหร่าน หากมีสัญญาณบวกจากการประชุมดังกล่าว มองเป็นการเปิดทางให้อิหร่านกลับมาส่งออกน้ำมันดิบได้อีกครั้ง รวมถึงการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียของ ปธน.ไบเดน (15–16/7/65) เห็นควรให้ทุกประเทศรอบอ่าวเปอร์เซียเพิ่มการผลิตน้ำมัน ขณะที่เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อ (1) จีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุม COVID-19 มากขึ้น ส่งสัญญาณเตรียมเปิดประเทศของจีนในระยะถัดไป คาดเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว-สายการบิน (AOT, MINT, CENTEL, ERW, SPA, AAV และ BA) และ (2) มาตรการกีดกันสินค้านำเข้าจีนของสหรัฐ ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะหมดอายุลงในช่วงเดือน ก.ค. หากไม่มีมาตรการใดออกมาเพิ่มเติม มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางตลาดในภูมิภาค

ทางด้านปัจจัยในประเทศ ยังให้น้ำหนักกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศเต็มรูปแบบ คาดช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป เช่น กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม-สายการบิน-รพ. จากจำนวน นทท. ต่างชาติที่มีแนวโน้มดีขึ้น 2H/65 โดยเฉพาะ 4Q/65 รวมถึงกลุ่มธนาคาร (KBANK, SCB, BBL และ TTB) คาดผลประกอบการ 2Q′65 ฟื้นตัวต่อเนื่องจาก 1Q65 ภายใต้ปัจจัยหนุนจากการผ่อนคลายมาตรการควบคุม COVID-19 และเปิดรับนักท่องเที่ยว พร้อมปัจจัยบวกจากแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. ในช่วงเดือน ส.ค. ซึ่งกลุ่มธนาคารเป็นกลุ่มแรก ที่ทยอยประกาศผลการดำเนินงาน – 2Q/65 ช่วงกลางเดือนนี้ รวมถึงกลุ่มส่งออกที่คาดได้รับ Sentiment บวกจาก เงินบาทที่มีทิศทางอ่อนค่า

ธีมการลงทุน “Selective Play”

หุ้นแนะนำวันนี้ “PTT” ราคาหุ้นปรับตัวลงแรง หลังมีข่าวภาครัฐขอความร่วมมือโรงแยกก๊าซและโรงกลั่นน้ำมัน จํานวน 6 แห่ง นำส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมัน โดยในส่วนของโรงแยกก๊าซ PTT ตามข่าว คิดเป็นจำนวนเงิน 500-1,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือคิดเป็น 1,500 – 3,000 ล้านบาทต่อ 3 เดือน (ก.ค.-ก.ย.65) อย่างไรก็ตาม ล่าสุดยังไม่ได้ ข้อสรุป และอยู่ระหว่างการเจรจา โดยเฉพาะผู้ประกอบการโรงกลั่นที่อ้างถึงระบบการค้าเสรี และการจะบริจาคเงิน ใดๆ ต้องเป็นไปตามข้อกฎหมาย ดังนั้นประเด็นดังกล่าวถือเป็นความเสี่ยงที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการโรงแยกก๊าซและ โรงกลั่น แต่ราคาหุ้นลดลงมารับข่าวดังกล่าวไปบ้างแล้ว ขณะที่ PTT มีผลการดำเนินงานมั่นคง สามารถจ่ายเงินปัน ผลได้ต่อเนื่อง คาดเงินปันผลทั้งปี’65 ที่ 2.00 บาท คิดเป็น Dividend Yield ที่ 5.26% ประเมินราคาเป้าหมายปี’ 65 อยู่ที่ 42.00 บาท (SOTP)

- Advertisement -