บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):
Shrinkflex (Thailand) PCL (SFT.BK/SFT TB) ยังเป็นห่วงแรงกดดันด้านต้นทุน
Event
เราคาดว่ากำไรสุทธิของ SFT ใน 2Q65 จะอยู่ที่ 17 ล้านบาท (-54% YoY, +3% QoQ) ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิในงวด 1H65 อยู่ที่ 34 ล้านบาท (-48% YoY) คิดเป็น 31% ของประมาณการกำไรปีนี้ของเรา โดยกำไรที่ลดลง YoY เป็นเพราะต้นทุนวัตถุดิบขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่กำไรที่เพิ่มขึ้น QoQ เป็นเพราะคำสั่งซื้อกลับมาหลัง lockdown
Impact
โมเมนตัมยอดขายเป็นบวกจากสถานการณ์ที่ดีขึ้น
เนื่องจาก i) โมเมนตัมของธุรกิจเครื่องดื่มเป็นบวก (energy drink: +3-4% ในเดือนเมษายน-พฤษภาคมจาก -5% ใน 1Q65; functional drink: +4-6% ในเดือนเมษายน-พฤษภาคม จาก -1.6% ใน 1Q65 ดังที่เรา ได้ระบุไว้บทวิเคราะห์กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม “Having a good time” ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2565) และ ii) การดำเนินงานราบรื่น เพราะได้รับผลกระทบน้อยลงจากมาตรการกักตัว เราจึงคาดว่ารายได้ของ SFT จะฟื้นตัวขึ้นเป็น 215 ล้านบาท (-2% YoY, +8% QoQ) ซึ่งจะทำให้ยอดขายใน 1H65 อยู่ที่ 415 ล้านบาท (+3% YoY) และคิดเป็น 46% ของประมาณการยอดขายเต็มปีของเรา
ปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ทำให้มีความเสี่ยงที่ margin จะถูกกดดัน
อัตรากำไรขั้นต้นของ SFT อาจจะถูกกดดันใน 2Q65 เนื่องจาก i) มีช่วงเหลื่อมเวลาของการเจรจาปรับราคาขาย และสามารถส่งผ่านต้นทุนไปให้ลูกค้าได้เพียงบางส่วน และ iii) มีช่วงเหลื่อมเวลาของสินค้าคงคลัง เราพบว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ SFT มีสหสัมพันธ์กับราคา PVC และ PET (ตามหลังอยู่ 2 ไตรมาส) อยู่ที่ -0.8 และต้นทุนวัตถุดิบที่แพงขึ้นทุกๆ 5% จะส่งผลกระทบกับ GPM ~1.4ppts (อิงจากสมมติฐานว่าไม่มีการปรับราคาขาย) ดังนั้น เราจึงคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของ SFT ใน 2Q65 จะอยู่ที่ 22.0% (-8.7ppts YoY, -1.3ppts QoQ) ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นใน 1H65 อยู่ที่ 22.6% (-7.9ppts YoY) ต่ำกว่าสมมติฐานปี 2565 ของเราที่ 26.5%
กำไรมีแนวโน้มบวกใน 2H65 แต่ปัจจัยที่ยังไม่แน่นอนทำให้แนวโน้มปี 2566 น่าเป็นห่วงมากขึ้น
เราคาดว่ากำไรของ SFT จะเพิ่มขึ้นใน 2H65 เนื่องจาก i คำสั่งซื้อกลับมาหลังจากที่กิจกรรมทางธุรกิจกลับมา และ ii) อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นจากการที่ต้นทุนวัตถุดิบมีเสถียรภาพมากขึ้น และได้อานิสงส์เต็มที่จากการปรับราคาขาย อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นทำให้เกิดความกังวลว่าจะทำให้การบริโภคและเศรษฐกิจชะลอตัวลง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับยอดคำสั่งซื้อของ SFT ได้ ดังนั้น เราจึงปรับสมมติฐานใหม่ และปรับลดประมาณการกำไรปี 2565-2566 ลง ~25% ซึ่งจะทำให้กำไรปกติ ของ SFT ในปี 2565 ลดลง 15% YoY แต่จะยังเพิ่มขึ้น 29% YoY ในปี 2566
Valuation & action
เรา de-rate PER จากเดิม 25.0X (+1.0 S.D) เหลือ 20.0X (เท่ากับค่าเฉลี่ย) เพื่อสะท้อนถึงความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ แต่เราขยับไปใช้ราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 เพื่อสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของกำไร ดังนั้น เราจึงประเมินราคาเป้าหมายใหม่ที่ 4.80 บาท จากเดิม 6.30 บาท และปรับลดคำแนะนำจาก ซื้อ เป็นถือ เนื่องจากราคาหุ้นเหลือ upside จำกัด แต่ยังพอมีโอกาสให้เก็งกำไรได้
Risks
ราคาวัตถุดิบ, เกิด disruption ในสายการผลิต, ความเสี่ยงจากนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับฉลากพลาสติก, ความกังวลเกี่ยวกับประเด็นสิ่งแวดล้อม, คู่แข่ง, อัตราแลกเปลี่ยน