ADD ย้ำเดินหน้าศึกษาแผนลงทุนใหม่ ส่งซิกเตรียมปิดดีลครึ่งปีหลัง หวังต่อยอด Core Business  มั่นใจช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลการดำเนินงานได้ในอนาคต ตอกย้ำศักยภาพการนำเทคโนโลยีช่วยขับเคลื่อนธุรกิจให้กับกลุ่มพันธมิตร ระบุเพื่อลดการพึ่งพิงรายได้จาก Operator แต่เพียงอย่างเดียว ขณะที่ช่วงไตรมาส 3/65 จ่อรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการเข้าไปลงทุน 7C  เข้ามาเต็มสูบ ตามสัดส่วนการถือหุ้นกว่า 46%

 

นายสมโภช ทนุตันติวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท แอดเทค ฮับ จำกัด (มหาชน) หรือ ADD เปิดเผยว่า บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างโอกาสทางธุรกิจ เพื่อสอดรับการต่อยอด Core Business อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งสู่การเติบโตในระยะยาว โดยล่าสุดบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาแผนการลงทุนธุรกิจด้านเทคโนโลยีใหม่ๆ เพิ่มเติม สำหรับรองรับการให้บริการทั้งกลุ่ม Operator และกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง ภายใต้การนำเทคโนโลยีที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญไปใช้กับองค์กรกลุ่มพันธมิตรในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การสร้างโอกาสการเติบโตในอนาคต

ส่วนเม็ดเงินเพื่อการเข้าไปลงทุนในธุรกิจใหม่นั้น บริษัทได้มีการขออนุมัติจากผู้ถือหุ้น จำนวน 150 ล้านบาท สำหรับรองรับการลงทุนที่จะเกิดขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยแผนการศึกษาการลงทุนธุรกิจด้านเทคโนโลยี เบื้องต้นคาดว่าภายในช่วงครึ่งปีหลังสามารถสรุปความชัดเจนสำหรับดีลดังกล่าวได้ ทั้งนี้ หากดีลสำเร็จจะส่งผลดีในการต่อยอดทางธุรกิจของ ADD โดยเฉพาะการสร้างมูลค่าเพิ่มด้านผลการดำเนินงานที่จะรับรู้เข้ามาในอนาคต

“มองว่าช่วงครึ่งปีหลัง ภาพรวมธุรกิจเริ่มมีสัญญาณดีขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวทางด้านเศรษฐกิจ ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคเริ่มกลับสู่ภาวะปกติ ประกอบกับกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Operator) เริ่มมีการแข่งขันในการวางกลยุทธ์ทางการตลาด โดยการออกแคมเปญใหม่ๆ ผ่านการให้บริการรูปแบบดิจิทัลคอนเทนต์ต่างๆ เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม และขยายสัดส่วนฐานลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น”

อย่างไรก็ตาม สำหรับการให้บริการในส่วนของธุรกิจหลัก (Core Business) ของบริษัท ยังคงมุ่งเน้นไปในการให้บริการดิจิทัล ทั้งการขยายฐานการให้บริการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (Solution) และการให้บริการดิจิทัลคอนเทนต์ (Content) เพิ่มขึ้น โดยเพิ่มกลุ่ม Content ที่น่าสนใจ เพื่อครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละกลุ่มย่อย พร้อมทั้งยังเปิดกว้างรับพันธมิตรที่เข้าถึงกลุ่มผู้ใช้งานใหม่ๆ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทมองหาการลงทุนในโครงการใหม่ๆ เข้ามาเสริม โดยมุ่งเน้นลักษณะโครงการที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยี เพื่อรองรับการให้บริการของกลุ่ม Operator ในการสร้างรายได้เพิ่ม ขณะเดียวกัน ก็พยายามกระจายการลงทุนไปกลุ่มอื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพิงรายได้จาก Operator แต่เพียงอย่างเดียว

ขณที่ในไตรมาส 3/65 นี้ บริษัทจะรับรู้ส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้น 46.7337% เต็มไตรมาส จากการเข้าไปลงทุนใน บริษัท เซเว่น คอนเนค แอดไวซอรี่ จำกัด (7C) ซึ่งดำเนินธุรกิจเป็นที่ปรึกษาด้านบัญชี การวางระบบควบคุมภายในการปรับโครงสร้างกิจการ การควบรวมกิจการ และที่ปรึกษาในการเตรียมตัวเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งขณะนี้มีกลุ่มลูกค้ามากกว่า 30 บริษัท

นอกจากนี้ 7C ยังมีบริษัทย่อย 2 บริษัทคือ บริษัท มาย โค๊ดดิ้ง โรแมนซ์ จำกัด (MCR) ดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาบุคลากรด้านไอที และ บริษัท ไท-ไท วิศวกร จำกัด (TTE) ดำเนินธุรกิจเป็นที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีผู้เชี่ยวชาญซึ่งมีประสบการณ์ในสาขาต่างๆ ด้านสิ่งแวดล้อมในการให้คำปรึกษาและแก้ไขปัญหาในการดำเนินการขออนุญาตก่อสร้างโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดย TTE มีประสบการณ์ในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้กับโครงการขนาดใหญ่มากมายในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่น One Bangkok, Central Embassy, Samyan Mitrtown, Singha Complex และ THE FORESTIAS by MQDC เป็นต้น ซึ่งทั้ง 2 ธุรกิจดังกล่าว มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีต่อเนื่อง จากการทยอยเปิดประเทศและภาพรวมเศรษฐกิจที่กลับมาฟื้นตัว

******

- Advertisement -