บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง: 

Thailand Tourism 2Q65 ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง

คงมุมมอง บวก เลือก MINT หุ้นเด่น

จากจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศที่ฟื้นตัวแรงในไตรมาส 2/65 เราเชื่อว่าผลประกอบการของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวทั้งหมดน่าจะดีขึ้น QoQ ยกเว้น CENTEL ที่ถูกกดดันจากต้นทุนอาหารที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่ามีเพียง MINT เท่านั้นที่จะกลับมาทำกำไรได้ในไตรมาสนี้ ขณะที่ AOT, AWC, CENTEL และ ERW น่าจะขาดทุน สำหรับ MINT การฟื้นตัวของยุโรปที่ส่งผลให้ RevPar ใน 2Q65 ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด-19 เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักในการทำกำไร (593 ล้านบาท) เราจึงเลือก MINT เป็นหุ้นเด่นของเราด้วยราคาเป้าหมาย 42 บาท ทั้งนี้ จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ เมษายน 65 หลังผ่อนคลายกฎเกณฑ์การเข้าประเทศ และดำเนินต่อมาในเดือนกรกฎาคม เราเชื่อว่า AOT น่าจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวนี้ นอกจากนี้ จำนวนนักท่องเที่ยวที่เร่งขึ้นในไตรมาส 3/65 ซึ่งอาจส่งผลให้มีค่าเฉลี่ยมากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน (ซึ่งก่อนหน้านี้คาดว่าจะเกิดขึ้นในไตรมาส 4/65) อาจเป็นปัจจัยบวกหนุนราคาหุ้นของ AOT ในฐานะประตูสู่ประเทศไทย เราคงแนะนำ ซื้อ AOT ราคาเป้าหมาย 80 บาท

อัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้น QoQ และ YoY จากการฟื้นตัวทั่วโลก

เราเชื่อว่า MINT มีอัตราการเข้าพักที่ดีที่สุดที่ 60% ในไตรมาสนี้ เนื่องจากการฟื้นตัวในยุโรป ซึ่งเป็นตลาดหลัก รองลงมาคือ ERW 59%, CENTEL 46% และ AWC 42% ความต้องการห้องพักที่มากขึ้น ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยสูงขึ้นทั้งอุตสาหกรรมส่งผลให้ RevPar ฟื้นตัวได้เร็วกว่าอัตราการเข้าพัก เราเชื่อว่า MINT มี RevPar เติบโตสูงสุดที่ 65% QoQ ตามด้วย ERW 30%, AWC 19% และ CENTEL ทรงตัว QoQ เนื่องจากการฟื้นตัวของ CENTEL ในประเทศไทยถูกชดเชยด้วย RevPar ในมัลดีฟส์ที่ลดลง QoQ นอกจากนี้ อัตราการเข้าพักใน กรุงเทพฯ เริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 2/65 หนุนโดยนักท่องเที่ยวต่างชาติ (เนื่องจากนักท่องเที่ยวในประเทศส่วนใหญ่เป็นชาวกรุงเทพฯ และไม่รวมอยู่ในตลาดกรุงเทพฯ) ที่มาเพื่อพักผ่อนและทำธุรกิจ ซึ่งจะทำให้อัตราการเข้าพักของ ERW ค่อนข้างแข็งแกร่งในครึ่งปีหลัง เนื่องจากรายได้ปกติประมาณ 40% มาจากโรงแรมในกรุงเทพฯ อย่างไรก็ตาม เรามองว่าราคาหุ้นได้สะท้อนแนวโน้มที่ดีไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากการดำเนินการที่ยังขาดทุนอยู่ เราแนะนําถือ ERW โดยมีราคา TP 4.00 บาท

ธุรกิจร้านอาหารถูกกดดันจากต้นทุนที่สูงขึ้น

ใน 2Q65 คาดว่า CENTEL จะรายงาน SSSG ที่ 16% และ MINT 2% การล็อกดาวน์ในจีน ส่งผลให้ SSSG ของ MINT ในจีนลดลง 50% ในไตรมาสนี้ แต่ด้วยสัดส่วนรายได้เพียงเล็กน้อย (6% ของร้านอาหารทั้งหมด) สามารถชดเชยด้วย SSSG ในไทยที่สูงถึง 13% โดยรวมแล้ว SSSG ของ MINT ก็ยังคงอยู่ที่ 2% เราคาดว่าอัตรากำไร EBITDA ของร้านอาหารทั้งสองจะลดลงเนื่องจากต้นทุนอาหารที่สูงขึ้น โดยอัตรากำไร EBITDA สำหรับอาหารของ CENTEL จะลดลง 6% QoQ และ 7% YoY เป็น 18% ในขณะที่ MINT ลดลง 5% QoQ และ 9% YoY เป็น 13% ทั้งนี้ จากรายได้ที่มากกว่าของ CENTEL จากร้านอาหาร (60% เทียบกับ MINT 20%) เราคาดว่า CENTEL จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนอาหารที่สูงขึ้นมากกว่า MINT และนี่คือสาเหตุหลักที่ CENTEL ยังคงขาดทุนใน 2Q65 แม้ธุรกิจโรงแรมจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง 65

ความเสี่ยงที่สำคัญคือต้นทุนที่สูงขึ้น

เราใช้วิธี DCF ประเมินราคาเป้าหมาย ความเสี่ยงที่สำคัญคือต้นทุนที่สูงขึ้น รวมถึงราคาเชื้อเพลิง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเดินทางทั่วโลก นอกจากนี้ ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นอาจส่งผลเสียต่อการทำกำไรของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวทั้งหมด  สำหรับค่าอาหารที่สูงขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อ CENTEL และ MINT เนื่องจากการดำเนินงานของร้านอาหาร เราประเมินว่าทุก 1% ที่เพิ่มขึ้น ของค่าอาหารจะกระทบกำไรของ CENTEL 2.4% และ MINT 1.8%

- Advertisement -