บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง:

Thailand Healthcare: 2Q65 รายได้โควิดลดลง

D/G ทั้งกลุ่มลง “เท่าตลาด” พร้อม D/G BH & BDMS เป็น “ถือ”

เราลดน้ำหนักหุ้นกลุ่ม Healthcare ของไทยเป็น “เท่าตลาด” พร้อมลดคำแนะนำ BDMS และ BH เป็น “ถือ” (และคงราคาเป้าหมายไว้) เนื่องจากราคาหุ้นทั้งกลุ่มขึ้นมากกว่าตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง BDMS และ BH ซึ่งราคาหุ้นชนราคาเป้าหมายของเราแล้ว และ upside เริ่มจำกัด ทั้งนี้ ราคาหุ้น BDMS และ BH ได้รับแรงหนุนจากแนวโน้มที่ดีจากผู้ป่วยต่างชาติ และเรามองว่าราคาหุ้นตอบรับคาดการณ์กำไรหลักที่จะโต 37%-130% ในปี 65 ไปแล้ว ใน บรรดาผู้ประกอบการ รพ. ที่เราศึกษา เราแนะนำ ซื้อ CHG รายเดียวเท่านั้น โดยมีราคาเป้าหมาย 4.60 บาท เราชอบแนวโน้มระยะยาวที่ดี โดยได้แรงหนุนจากการอยู่ในทำเลระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่มีประชากรหนาแน่น ซึ่งนำไปสู่ความต้องการด้านการรักษาพยาบาลที่สูง เราเพิ่มคาดการณ์กำไรหลักของทั้ง BCH และ GHG สำหรับปี 65 ขึ้น 88-91% เนื่องจากรายได้ Covid ที่สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ในปีนี้ แต่ยังคงเป้ากำไรหลักไว้ตั้งแต่ปี 66 เป็นต้นไป เราเพิ่มราคาเป้าหมาย BCH และ CHG ขึ้นประมาณ 2% แม้ว่าผู้ประกอบการทุกรายจะมีรายได้จากโควิดในระดับสูง (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง BCH และ CHG) แต่เราเชื่อว่ารายได้จากโควิดจะลดลงในครึ่งปีหลัง เนื่องจากรัฐบาลมีแผนที่จะปรับให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น จึงไม่น่าหนุนราคาหุ้นให้ขึ้นได้

กำไร 2Q65 ลดลง QoQ ยกเว้น BH

ใน 2Q65 เราคาดว่ากำไรหลักจะอ่อนตัวลง QoQ สำหรับทุกบริษัท ยกเว้น BH (+9% QoQ และ +267% YoY เป็น 793 ล้านบาท) ซึ่งได้รับอานิสงส์สูงสุดจากการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ และจากการฟื้นตัว ขณะที่ BCH, BDMS และ CHG น่าจะเห็นกำไรหลักลดลง QoQ จากรายได้จากโควิดลดลง เนื่องจาก 1) รัฐบาลไทยสนับสนุนให้กักตัวอยู่บ้าน และไม่ต้องจ่ายค่ารักษาในโรงพยาบาลสำหรับอาการป่วยที่ไม่รุนแรง และ 2) การรักษาและการตรวจมีราคาถูกลง เราคิดว่ารายรับจากโควิดอาจลดลงต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง เนื่องจากประเทศไทยปรับให้การระบาดเป็นโรคประจำถิ่น โดยในไตรมาสนี้ เราเชื่อว่ารายได้จากโควิดอาจสูงถึง 50% สำหรับ BCH ตามด้วย CHG 40% BDMS 10% และ BH 5% นี่คือสาเหตุหลักที่ทำให้กำไร ของ BCH, BDMS และ CHG อาจลดลงในไตรมาสนี้

หุ้นปลอดภัยท่ามกลางตลาดผันผวน

แม้ผลประกอบการ 2Q65 จะไม่น่าตื่นเต้น แต่เราเชื่อว่าหุ้นรโรงพยาบาลไทยน่าจะเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยท่ามกลางภาวะตลาดผันผวน โดยเฉพาะจากแนวโน้มประชากรสูงอายุในประเทศไทย โดยธนาคารโลกคาดการณ์ว่าจะมี 1 ใน 4 ของประชากรที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปในปี 2582 เมื่อเทียบกับเพียง 11% ในปี 2559 ซึ่งจะทำให้หุ้นกลุ่มนี้ยังคงน่าสนใจสำหรับนักลงทุน ระยะยาว

ความเสี่ยงที่สำคัญคือต้นทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะเงินเดือน พนง.

เราใช้วิธี DCF ประเมินมูลค่าหุ้น ความเสี่ยงที่สำคัญคือต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (เช่น ราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้การเดินทางโดยเครื่องบินแพงขึ้น) ในขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น เงินเดือนบุคลากรอาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรจากการดำเนินงานและผลกำไร

- Advertisement -