บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action BUY (Maintain)
TP upside (downside) +24.8%
Close Jul 20, 2022 Price (THB) 12.10
12M Target (THB) 15.10
Previous Target (THB) 17.50
What’s new?
- คาดกำไรปกติ 2Q65 จะเป็นจุดต่ำสุดของปีที่ 432 ลบ. จากการไม่มีโครงการแนวสูงเสร็จใหม่พร้อมโอน
- คาดบริษัทจะรายงาน Presale 2Q65 ที่ 6.3 พันลบ. สูงที่สุดในรอบ 4 ไตรมาสจากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวขึ้นทั้งในสินค้าแนวราบและแนวสูง
- แนวโน้มผลประกอบการช่วง 2H65 คาดเติบโตอย่างโดดเด่นทั้ง HOH และ YoY ที่ระดับ 1.9 พันลบ. จากการครบกำหนดการโอนโครงการแนวสูงที่หนาแน่นถึง 7 โครงการรวมมูลค่ากว่า 1.5 หมื่นลบ.
Our view
- ปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2565/66 ลง 18% และ 21% เป็น 2.9 พันลบ. และ 3.3 พันลบ. ตามลำดับ จากผลกระทบของสถานการณ์เงินเฟ้อ และแนวโน้มดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น
- ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลงมากว่า 11% ตั้งแต่ช่วงต้น 2Q65 คาดสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว ขณะที่แนวโน้มผลประกอบการคาดผ่านจุดต่ำสุดและอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ
- คาดเงินปันผลงวดดำเนินงาน 1H65 ที่ 0.35 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield จากราคาปิดวานนี้ที่ 2.9% ช่วยจํากัด Downside risk ในระยะสั้น
PRUKSA HOLDING ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
คาดผลประกอบการ 2Q65 เป็นจุดต่ำสุดของปี
เราคาดกำไรปกติ 2Q65 ที่ 432 ลบ. (-21.7% QoQ, +1.0% YoY) ทรงตัว YoY แต่ลดลง QoQ จาก (1) การไม่มีโครงการแนวสูงเสร็จใหม่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์แตกต่างกับช่วง 1Q65 ที่ได้รับอานิสงส์จากการโอน Backlog โครงการแนวสูงเสร็จใหม่ต่อเนื่องจาก 4Q64 ถึง 4 โครงการ เป็นผลให้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ส่วนใหญ่มาจากการระบาย Inventory และ (2) รายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลคาดลดลง 18.5% QoQ เป็น 199 ลบ. จากฐานที่สูงในช่วง 1Q65 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจโรงพยาบาลคาดอยู่ในช่วงของการ Ramp-up และยังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วที่ 28 ลบ.
สำหรับอัตรากำไรขั้นต้น 2Q65 คาดเติบโตเด่น +150 bps QoQ และ +276 bps YoY เป็น 31.2% จากการปรับกลยุทธ์และโครงสร้างราคาเพื่อลดต้นทุน รวมไปถึงการปรับราคาขายของโครงการในทำเลที่มีอัตราดูดซับอุปทานสูง อย่างไรก็ตาม เราคาดผลประกอบการ 2Q65 จะถูกกดดันด้วยค่าใช้จ่ายด้านบุคลากร (Administrative Expense) และภาษีที่ดิน ซึ่งเป็น One-time event อัตราส่วน SG&A/Sales จึงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 18.3% (+164 bps QoQ, +107 bps YoY)
Presale เริ่มเห็นการฟื้นตัวทั้งในโครงการแนวราบและแนวสูง
เราคาดบริษัทจะรายงานยอด Presale 2Q65 ที่ 6.3 พันลบ. (+17.9% QoQ, -12.8% YoY) แม้ยังลดลง YoY แต่เป็นจุดสูงสุดในรอบ 4 ไตรมาส แบ่งออกเป็น (1) แนวราบ 5.3 พันลบ. (+17.6% QoQ, -10.2% YoY) เติบโตขึ้นเด่น QoQ จากอุปสงค์ที่ฟื้นตัวเมื่อเทียบกับช่วง 1Q65 ที่มีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของ Omicron รวมถึงการปรับเปลี่ยนการออกแบบโครงการแนวราบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ามากขึ้น และ (2) แนวสูงที่ 1.0 พันลบ. (+19.3% QoQ, -24.4% YoY) สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วง 3Q64 แม้ไม่มีการเปิดตัวโครงการแนวสูงใหม่ คาดเหตุผลหลักคือพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคที่เริ่มเปลี่ยนกลับเข้าสู่สภาวะปกติ และการกลับไปเรียนแบบ On-site ของนักเรียนและนักศึกษา
คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจะเติบโตเด่นทั้ง HoH และ YoY ใน 2H65
ถึงแม้เราคาดบริษัทจะมียอดเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วง 2Q65 เพียง 7 โครงการ รวมมูลค่า 3.6 พันลบ. (เป็น โครงการแนวราบทั้งสิ้น) จากการเลื่อนแผนการเปิดตัวโครงการแนวราบ 2 โครงการรวมมูลค่า 2.3 พันลบ. ไปยังช่วง 2H65 แต่ยังคงเป้าหมายการเปิดตัวทั้งปี 2565 ไว้เท่าเดิมที่ 1.6 หมื่นลบ.
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในช่วง 2H65 เราคาดจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญทั้ง HoH และ YoY ที่ระดับ 1.9 พันลบ. +/- (+93.4% HoH, +44.3% YoY) จากการเข้าสู่ช่วงครบกำหนดในการโอนโครงการแนวสูงรวมทั้งสิ้น 7 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 1.5 หมื่นลบ. (ปัจจุบันมียอดขายรวมแล้ว 74%) แบ่งเป็น 3 โครงการรวมมูลค่า 7.4 พันลบ. ใน 3Q65 และ 4 โครงการรวมมูลค่า 7.8 พันลบ. ในช่วง 4Q65
ปรัดลดประมาณการปี 2565/66 แต่คงคำแนะนำ “ซื้อ” บนราคาเป้าหมายใหม่ที่ 15.10 บาท
เราปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2565/66 ลง 18% และ 21% จากเดิม 3.5 พันลบ. และ 4.2 พันลบ. เป็น 2.9 พัน ลบ. (+28.5% YoY) และ 3.3 พันลบ. (+15.2% YoY) ตามลำดับ หลักๆ มาจากการปรับสมมติฐานอัตราดูดซับอุปทานที่คาดได้รับผลกระทบจากสถานการณ์เงินเฟ้อ และแนวโน้มดอกเบี้ยที่เป็นขาขึ้น และค่าใช้จ่ายที่เพิ่มเข้ามาจากการชำระภาษีที่ดินและการจัดโครงสร้างบุลกากร
การปรับลดประมาณการดังกล่าวส่งผลให้เราปรับลดราคาเป้าหมาย ณ สิ้นปี 1Q66 ลงเป็น 15.10 บาท (อิง PER1H66 ที่ 10.3x เทียบเท่า +0.5 SD จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของบริษัท) อย่างไรก็ตาม เราคาดผลประกอบการของ PSH ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วง 2Q65 และจะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก Backlog แนวสูงรอโอนเป็นจำนวนมาก ขณะที่การปรับกลยุทธ์และโครงสร้างภายในจะส่งผลบวกต่อความสามารถการทำกำไรระยะกลาง-ยาว