บล.พาย:

TOP: บมจ. ไทยออยล์ “ภาพรวมกำไรแข็งแกร่งใน 2Q22”

มีมุมมองเชิงบวกต่อภาพรวมกำไร 2Q22 เพราะคาดว่ากำไรสุทธิจะพุ่งสูงขึ้น +10 เท่า YoY และ +2 เท่า QoQ แตะ 2.25 หมื่นล้านบาท หนุนจากค่าการกลั่นที่สูงเป็นประวัติการณ์ และกำไรพิเศษครั้งเดียวจากการขายหุ้น GPSC คาดผลงานกลุ่มโรงกลั่นที่มั่นคงใน 2H22 ขณะที่ปัจจัยค้างคาที่กดดันทิศทางราคาหุ้นจะยังคงอยู่จนกว่านโยบายการเก็บกำไรกลุ่มโรงกลั่นเข้ากองทุนน้ำมันจะชัดเจน (คาดในเดือน ส.ค.) แต่โอกาสในการเข้าแทรกแซงมีต่ำ และการร่วมมือจะมีลักษณะของการสมัครใจ จึงเล็งเห็นโอกาสในการเข้า “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 71.00 บาท หากราคาย่อตัวลงมา  เนื่องจากบริษัทมีภาพรวมกำไรที่แข็งแกร่งใน 2Q-2H22 พร้อมกับอัตราผลตอบแทนเงินปันผลระดับสูงที่ 8.4% สำหรับปี 2022

ภาพรวมกำไร 2Q22 ที่สดใส

  • ประเมินกำไรสุทธิ 2Q22 ที่ 2.25 หมื่นล้านบาท (+962% YoY, +214% QoQ) หนุนจากค่าการกลั่นที่สูงเป็นประวัติการณ์ระดับ US$23/bbl เทียบกับ US$6.4/bbl ใน 1Q22 สืบเนื่องจากส่วนต่างราคาเบนซินเชื้อเพลิงเครื่องบิน และดีเซลที่สูงขึ้นจากเหตุขัดข้องทางอุปทานจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน นอกจากนี้บริษัทจะรับรู้กำไรพิเศษ 1.28 หมื่นล้านบาท จากการขายหุ้น 10.78% ใน GPSC อีกด้วย 
  • ผลงานที่แข็งแกร่งในกลุ่มโรงกลั่นน่าจะช่วยให้กำไรขั้นต้นเฉลี่ยทุกผลิตภัณฑ์ (GIM) เพิ่มเป็น US$24/bbl จาก US$7.6/bbl ใน 1Q22 แม้ส่วนแบ่งจากกลุ่มอะโรเมติกส์และ LAB จะอ่อนแอ เนื่องจากส่วนต่างราคา PX และ BZ ที่อ่อนตัวลง QoQ เพราะกำลังการผลิตส่วนเพิ่มในเอเชียก็ตาม

คาดค่าการกลั่นจะอ่อนตัวลงใน 2H22

  • คาดกำไรปกติ 2H22 จะปรับดีขึ้น YoY แต่ชะลอลง HoH ส่วนค่าการกลั่นสิงคโปร์ที่เพิ่มขึ้นแตะจุดสูงในรอบหลายปีที่ผ่านมาที่ US$21.4/bbl ใน 2Q22 ปรับลดลงเหลือ US$10.7/bbl QTD ใน 3Q22 สะท้อนถึงแนวโน้มค่าการกลั่นของบริษัทที่ลดลงตั้งแต่ 3Q22 เป็นต้นไป ส่วนการกลับมาของน้ำมันส่งออกจากจีนหลังเผชิญวิกฤติโควิด-19 และจากรัสเซียหลังผ่อนปรนมาตรการคว่ำบาตรน่าจะทำให้ค่าการกลั่นลดลงจากยอดสูงใน 2H22 
  • แต่ยังคงสมมติฐานค่าการกลั่นที่ US$10/bbl สำหรับปี 2022 หรือโตขึ้น YoY จาก US$3.5/bbl ในปี 2021 ด้วยแรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง เพราะเศรษฐกิจเอเชียที่ฟื้นตัวขึ้นจากวิกฤติโควิด-19

คงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 71.00 บาท

  • คงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 71.00 บาท อิง 0.9xPBV’23E สอดคล้องกับค่าเฉลี่ยของกลุ่มในประเทศ คาดว่ากำไรที่แข็งแกร่งในปี 2022 และอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าดึงดูดระดับ 8.4% ในปี 2022 จะหนุนทิศทางราคาหุ้นได้ ทั้งนี้ บริษัทได้เลื่อนแผนการเพิ่มทุนออกไปเป็น 4Q22

กำไร 2Q22 พุ่งสูงขึ้น 10 เท่า YoY และ 2 เท่า QoQ

  • ประเมินกำไรสุทธิ 2Q22 ที่ 2.25 หมื่นล้านบาท (+962% YoY, +214% QoQ) หนุนจากค่าการกลั่นที่สูงเป็นประวัติการณ์ และกำไรพิเศษ 1.28 หมื่นล้านบาทจากการขายหุ้น 10.78% ใน GPSC
  • ธุรกิจโรงกลั่น: คาดค่าการกลั่นจะเพิ่มเป็น US$23/bbl จาก US$0.4/bbl ใน 2Q21 และ US$6.4/bbl ใน 1Q22 หนุนจากส่วนต่างราคาเบนซิน ดีเซล และเชื้อเพลิงเครื่องบินที่ปรับเพิ่มขึ้นแข็งแกร่ง คาดอัตราการกลั่นจะฟื้นตัวสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ที่ 308kbd (112%) จาก 303kbd (110%) ใน 1Q22 เพราะอุปสงค์ที่ดีขึ้นในประเทศ คาดบริษัทจะรับรู้กำไรสต็อกน้ำมัน 6.7 พันล้านบาท (เทียบ 1.4 หมื่นล้านบาทใน 1Q22 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบดูไบปรับเพิ่มขึ้น +12% QoQ เป็น US$108/bbl ขณะที่คาดถึงผลขาดทุนการป้องกันความเสี่ยงที่สูงขึ้นเป็น 1.2 หมื่นล้านบาทจากส่วนต่างราคาที่สูงขึ้น
  • ธุรกิจอะโรเมติกส์: คาดส่วนแบ่งจากธุรกิจนี้จะลดลงอย่างมาก QoQ เพราะส่วนต่างราคา PX และ BZ ที่ลดลงเกือบ 65% และ 80% QoQ เป็น US$44/ton และ US$23/ton ใน 2Q22 ตามลำดับ สืบเนื่องจากกำลังการผลิตส่วนเพิ่มที่เกิดขึ้น จึงประเมินว่าธุรกิจอะโรเมติกส์และ LAB รวมกันจะมีส่วนแบ่งที่ US$0.1/bbl ต่อ GIM เทียบกับ US$0.7/bbl ใน 1Q22 ส่วนธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานคาดว่าจะมีส่วนแบ่งต่อ GIM ที่เพิ่มเป็น US$0.8/bbl จาก US$0.6/bbl ใน 1Q22 สืบเนื่องจากส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น 16% QoQ

ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2022-23 ในกรอบ 17%-39%

  • ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2022-23 ขึ้น 39% และ 17% เป็น 3.66 หมื่นล้านบาท และ 1.36 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ หนุนจากค่าการกลั่นที่ สูงกว่าคาด ขณะที่ปรับสมมติฐานค่าการกลั่นปี 2022 ขึ้น 43% เป็น US10/bbl และ +17% เป็น US$6.0/bbl ใน 2023
  • คาดค่าการกลั่นจะลดลงและกลับสู่ระดับปกติในปี 2023 หลังจากมีฐานสูงในปี 2022 ที่ได้แรงหนุนจากเหตุขัดข้องทางด้านอุปทานน้ำมันจาก สงครามรัสเซีย-ยูเครน ขณะที่ปรับสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบขึ้น 5% เป็น US$100/bbl ในปี 2022 และ 6% เป็น US$85/bbl ในปี 2023

Revenue breakdown

การดำเนินงานหลักของบริษัทคือธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจอื่นๆ ที่สร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น ปิโตรเคมี การผลิตไฟฟ้า และการขนส่งทางทะเล โดยบริษัทมี กำลังการกลั่น 2.75 แสนบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสูงที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย และคิดเป็น 22.5% ของกำลังการกลั่นในประเทศ นอกจากนี้บริษัทยังถือหุ้น 20% ใน GPSC (ซึ่งเป็นของกลุ่มปตท.) ที่ช่วยสร้างส่วนแบ่งกำไรที่มีความมั่นคง โดยรายได้หลักของบริษัทมาจากแหล่งต่างๆ ดังนี้

  • โรงกลั่น (สัดส่วนที่ 55% ของ EBITDA รวม)
  • อะโรเมติกส์และห้องปฏิบัติการ (สัดส่วนที่ 18% ของ EBITDA รวม)
  • น้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน (สัดส่วนที่ 17% ของ EBITDA รวม)
  • การผลิตไฟฟ้า (สัดส่วนที่ 6% ของ EBITDA รวม)
  • สารทำละลาย (สัดส่วนที่ 4% ของ EBITDA รวม)
  • อื่นๆ (สัดส่วนที่ 1% ของ EBITDA รวม)
- Advertisement -