บล.เอเซีย พลัส:

ราคาหุ้นสะท้อนกำไร 2H65 ที่ดีกว่าคาดไปแล้ว

กำไรสุทธิงวด 2Q65 เติบโตถึง 53% qoq และ 158% yoy สูงกว่าคาดมาก จากรายได้รวมเติบโตต่อเนื่อง และ Gross margin ที่สูงกว่าคาด จาก Product mix ที่ดีขึ้น แต่ DELTA ยังคงเป้าหมายรายได้ปี 2565 ไว้อย่างระมัดระวังว่าจะเติบโต 10-15% (เท่าเดิม) จากธุรกิจ Data center/ EV car/ fan เติบโต แต่ยังต้องติดตาม ปัญหา supply chain มียังมีอยู่บ้าง กดดันให้แนวโน้มประสิทธิภาพการทำกำไรช่วง 2H65 อ่อนตัวลงบ้าง จากทิศทางราคาต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นบ้าง

ปรับเพิ่มประมาณการณ์กำไรปี 2565-66 ขึ้นเฉลี่ย 35% จากรายได้รวม และ Gross margin 2Q65 ที่สูงกว่าคาดมาก ภายหลังปรับประมาณการ คาดกำไรสุทธิปี 2565 จะเติบโตถึง 104% yoy จากแนวโน้มยอดขายเพิ่มขึ้น 20% yoy เบื้องต้นคาดกำไร 2H65 ยืนสูงจากช่วง High season และเงินบาทอ่อนค่า กำหนด FV ปี 2565 ใหม่ เท่ากับ 350 บาท ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นสะท้อนผลบวกจากกำไรงวด 2Q65 ที่สูงกว่าคาดไปแล้ว จนปัจจุบันมีค่า PER ปี 2565 สูงถึง 43 เท่า จึงยังแนะนำขาย

กําไรสุทธิ 2Q65 ขึ้นทำ NEW HIGH จากคำสั่งซื้อ และ MARGIN ดีขึ้น

DELTA รายงานกำไรสุทธิงวด 2Q65 เท่ากับ 4.3 พันล้านบาท ขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (สูงกว่าคาดถึง 85% และตลาดคาดถึง 70%) เพิ่มขึ้นถึง 53.4% qoq และ 157.6% yoy โดย DELTA บันทึกกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามา 346 ล้านบาท ขณะที่กำไรปกติงวด 2Q65 เท่ากับ 3.9 พันล้านบาท (สูงกว่าคาดมากเช่นกัน) เพิ่มขึ้นถึง 74.2% qoq และ 173.5% yoy หลักๆ มาจาก

1) รายได้รวมงวด 2Q65 ปรับเพิ่มขึ้น 13.7% qoq และ 35.7% yoy มาที่ 2.8 หมื่นล้านบาท ขึ้นทำ New high รายไตรมาส (สูงกว่าคาด 16% และตลาดคาด 14%) จากความต้องการใช้ชิ้นส่วนฯ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Data Center, Server & Cloud Storage รวมถึงกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า (EV car) กลุ่มโซลูชั่นพัดลม และระบบจัดการความร้อน (Fan & Thermal Management Solution) แม้ยังเผชิญปัญหาทางด้าน Supply chain และ การขนส่งที่ล่าช้าไปอยู่บ้างผลกระทบจากการล็อกดาวน์ในจีน

2) Gross margin ในงวด 2Q65 ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 25.1% (สูงกว่าที่คาดไว้ที่ 21.4%) จาก 20.9% ในงวด 1Q65 หนุนจาก Product mix ที่ดีขึ้น จากกลุ่ม High end Data center และ EV car ที่มีมาร์จิ้นสูง รวมถึงรับรู้ต้นทุนวัตถุดิบบางส่วนที่ราคาถูกเข้ามาบางส่วนด้วย อีกทั้ง ผลบวกจากทิศทางค่าเงินบาทเฉลี่ยงวด 2Q65 ที่อ่อนค่าลง 4.0% qoq และ 13.5% yoy มาอยู่ที่ 34.40 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ

และ 3) สัดส่วน SG&A/Sales งวด 2Q65 ปรับตัวลดลงมาเหลือ 11.3% (ดีกว่าที่คาดไว้ ที่ 12.0%) จาก 12.0% ในงวดก่อน จากสัดส่วนรายได้ที่เติบโตมากกว่าค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร

โดยรวมแล้ว กำไรสุทธิงวด 1H65 เท่ากับ 7.0 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 106.4% yoy คิดเป็นสัดส่วนถึง 72% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ก่อนปรับปรุง ขณะที่กำไรปกติงวด 1Q65 เท่ากับ 6.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 110.0% yoy คิดเป็นสัดส่วนถึง 63% ของประมาณการกำไรปกติปี 2565 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ก่อนปรับปรุง

ทิศทางธุรกิจยังดีในงวด 2H65…ยังบริหารจัดการวัตถุดิบได้

สำหรับภาพรวมการประชุมนักวิเคราะห์ (27 ก.ค. 65) แม้ผลประกอบการงวด 2Q65 จะดีกว่าคาดมาก แต่ DELTA ยังคงเป้าหมายธุรกิจในปี 2565 ไว้อย่างระมัดระวัง โดยยังคงเป้าหมายรายได้รวมปี 2565 ไว้เท่าเดิมว่าจะเติบโต 10-15% yoy (ฝ่ายวิจัยกำหนดสมมติฐานรายได้รวมปี 2565 จะเติบโต 20.1% yoy โดยรายได้รวมงวด 1Q65 ของ DELTA เติบโตถึง 32.6% yoy) และยังคงเป้าหมาย Gross margin ในช่วง 2H65 ไม่น้อยกว่า 23% (เทียบกับงวด 2Q65 ที่ทำได้ 25.1%) โดยมีปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่

1. มี Backlog order ที่ยังรอการส่งมอบสูง รวมถึงทิศทางดีมานด์ของทุกกลุ่ม (Data center/ EV car/ thermal fan) ยังคงเติบโต หนุนแนวโน้มรายได้รวมงวด 2H65 ยังดีต่อเนื่อง แต่ปัญหา Supply chain แม้จะคลี่คลายลงบ้าง แต่ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ โดยวัตถุดิบหลักบางอย่างยังมี lead time ที่สูงต่อเนื่อง โดย DELTA เริ่มทยอยเปลี่ยนการจัดหาวัตถุดิบมาใช้ในประเทศมากขึ้น ทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ (งวด 2Q65 เริ่มใช้วัตถุดิบในประเทศ 30% ของวัตถุดิบทั้งหมด ตั้งเป้าหมายจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ในปลายปี 2565) และ

2. วัตถุดิบบางอย่างมีราคาสูงขึ้น เช่น IC และ Chipset โดย DELTA ไม่มีนโยบายที่จะไปขึ้นราคากับลูกค้าในปัจจุบัน (Existing customers) จึงอาจมีส่วนที่กดดัน Gross margin ในระยะสั้นบ้าง

ปรับเพิ่มประมาณการณ์กำไรปี 2565-66 ขึ้นเฉลี่ย 35%

ทั้งนี้ กำไรสุทธิงวด 2Q65 ที่ดีกว่าคาดมาก ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2565-66 ขึ้น 41.9% และ 31.1% จากเดิม ตามลำดับ สะท้อนการปรับสมมติฐาน ต่างๆ ดังนี้

1) ปรับเพิ่มสมมติฐานรายได้รวมปี 2565-66 ขึ้น 9.9% และ 9.5% จากเดิมมาอยู่ที่ 1.0 แสนล้านบาท และ 1.1 แสนล้านบาท สะท้อนจากแนวโน้มความต้องการใช้ชิ้นส่วนฯ เติบโตสูงกว่าคาดมาก หนุนคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเพื่อให้สอดคล้องรายได้รวมงวด 1H65 ที่ 5.2 หมื่นล้านบาท

2) ปรับเพิ่มสมมติฐาน Gross margin ปี 2565-66 ขึ้นมาอยู่ที่ 23.9% และ 24.0% จากเดิม 23.1% และ 23.3% ตามลำดับ จาก Product mix ที่ดีมากจากการเน้นขาย ผลิตภัณฑ์ที่มีมาร์จิ้นสูง รวมถึงการปรับเพิ่มสมมติฐานค่าเงินบาทเฉลี่ยปี 2565-66 เป็น 35 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จากเดิม 32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับค่าเงินบาทเฉลี่ย ตั้งแต่ต้นปีที่ 34.05 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐ อ่อนค่าลงไปกว่า 6.3% yoy

3) ปรับลดสมมติฐานสัดส่วน SG&A/Sales ปี 2565-66 ลดลงมาที่ 11.7% จากเดิม 13.2% สะท้อนยอดขายที่เติบโตขึ้นดีโดดเด่นมาก ในขณะที่ค่าใช้จ่ายปรับตัวขึ้นในอัตราส่วนที่น้อยกว่า และเพื่อให้สอดคล้องกับสัดส่วน SG&A/Sales งวด 1H65 ที่ 11.6%

4) ปรับเพิ่มรายการพิเศษที่เกิดขึ้นจริงในงวด 1H65 เข้ามา 877 ล้านบาท ได้แก่ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 546 ล้านบาท และรายได้ชดเชยจากประกันน้ำท่วมอีก 331 ล้านบาท

ภายหลังปรับประมาณการ คาดกำไรสุทธิปี 2565 จะเติบโตถึง 104.0% yoy มาอยู่ระดับ 1.4 หมื่นล้านบาท ขึ้นทำจุดสูงสุดรายปี จากแนวโน้มยอดขายที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.6% yoy มาสู่ระดับ 1.0 แสนล้านบาท โดยเฉพาะลูกค้าในกลุ่ม Data center และ Fan ขณะที่คาด Gross margin จะฟื้นตัวมาอยู่ที่ 23.9% นอกจากนี้ ยังคาดกำไรสุทธิปี 2566 จะเติบโตต่อเนื่องอีก 3.2% yoy สู่ระดับ 1.4 หมื่นล้าน จากแนวโน้มรายได้รวมเพิ่มขึ้น 10.1% yoy สู่ระดับ 1.1 แสนล้านบาท และแนวโน้ม Gross margin ปี 2566 ทรงตัวสูงที่ 24.0%

เบื้องต้นคาดการณ์กำไรปกติ 3Q65 จะทรงตัวสูง เนื่องจากเป็นช่วง High season อีกทั้งแนวโน้มปัญหาชิพขาดแคลนจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นจากงวด 2Q65 หนุนแนวโน้มการส่งมอบสินค้าและรายได้ให้เติบโตได้ต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังได้ผลบวกจากแนวโน้ม Gross margin ที่จะยืนสูง จากทิศทางค่าเงินบาทที่ยังอ่อนค่า

VALUATION ยังคงแพง…แนะนำเพียงเก็งกำไรช่วงสั้น

ภายใต้ประมาณการใหม่ อิงวิธี DCF (WACC 11.6%) ได้ FV ปี 2565 ใหม่เท่ากับ 350 บาท (เดิม 280 บาท) แม้แนวโน้มธุรกิจจะเติบโตต่อเนื่อง แต่ราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นถึง 1% สะท้อนปัจจัยบวกจากกำไรสุทธิงวด 2Q65 ที่สูงกว่าคาดมาก จนปัจจุบันมีค่า PER ปี 2565 สูงถึง 43 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ย PER ย้อนหลัง 10 ปี ราว 0.9 SD จึงยังแนะนำขาย

ประเด็นความเสี่ยง

1.ความผันผวนของค่าเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ หากค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น จะกดดันแนวโน้มกำไรสุทธิของ DELTA

2.เศรษฐกิจชะลอตัว หากเศรษฐกิจชะลอตัว จะกดดันคำสั่งซื้อของลูกค้าให้ลดลง และจะกดดันรายได้รวมและกำไรสุทธิของ DELTA

DELTA แนะนํา ขาย

ราคาปัจจุบัน (บาท) 474.00

ราคาเป้าหมาย (บาท) 350.00

Upside (%) -26.2

Dividend yield (%) 0.9

 

- Advertisement -