ภาพรวมเผชิญหลากหลายปัจจัยกดดัน วันนี้เน้น Defensive

Market Update

Dow Jones เมื่อคืนปรับลงเล็กน้อย 0.14% ถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานรวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐฯ โดยสถาบัน ISM รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตออกมาที่ 52.8 แม้จะดีกว่านักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 52.3 แต่ลดลงจากเดือนก่อนที่ 53.0 นอกจากนี้การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างได้ปรับลง 1.1% MoM สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะขยายตัว 0.3% ขณะที่ฝั่ง EU รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อที่ค่อนข้างอ่อนแอส่วนใหญ่อยู่ในระดับต่ำกว่า 50 (เข้าสู่ภาวะหดตัว) สอดคล้องกับด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ที่ปรับลง 3.9% นักลงทุนกังวลถึงอุปสงค์ที่จะอ่อนแอจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ข้างต้นที่เราได้รายงานไป

Market Outlook

ประเมิน SET INDEX วันนี้มีโอกาสแกว่งตัวลงในกรอบ 1584 – 1590 เนื่องจากเผชิญกับปัจจัยลบ อาทิ (1) แรงกดดันจากกลุ่มน้ำมัน (PTTEP) ตามการปรับลงของราคาน้ำมันดิบ ขณะที่กลุ่มข้างต้นมีมูลค่าตลาดค่อนข้างสูง (2) จิตวิทยาเชิงลบจากตลาดหุ้นญี่ปุ่น ณ เวลา 7.09 ตามเวลาประเทศไทยแกว่งตัวลงอยู่ราว 0.85% (3) การปรับขึ้นมาแรงในวานนี้ราว 1.07% จึงเสี่ยงที่จะเผชิญแรงทำกำไร โดยคืนนี้มีปัจจัยติดตาม ได้แก่ ตำแหน่งงานว่างเปิดใหม่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 10.9 ล้านตำแหน่งลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 11.25 ล้านตำแหน่ง ทั้งนี้การฟื้นตัวขึ้นมาของดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกหรือแม้กระทั่งตลาดหุ้นไทย ยังถือว่ามีความเสี่ยงที่รออยู่ อาทิ เงินเฟ้อของ สหรัฐฯ แม้มีความเป็นไปได้ที่จะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่การปรับลงไปให้ถึงเป้าหมายที่ FED ต้องการราว 2-3% ยังเป็นไปได้ค่อนข้างยาก จึงมีโอกาสที่การเร่งขึ้นดอกเบี้ยของ FED ในช่วงถัดไป ยังมีความเป็นไปได้ หรือความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจที่มีโอกาสอ่อนตัวลง ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันการเติบโตกำไรบริษัทจดทะเบียน ซึ่งปัจจุบันมีหลายสัญญาณบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจโลกยังมีความอ่อนแอ (PMI หดตัว, ดอกเบี้ยเร่งขึ้น, อสังหาฯในสหรัฐอ่อนแอ) ดังนั้นเชิงกลยุทธ์การลงทุน อาจเริ่มพิจารณาทำกำไรบ้างหลังดัชนีปรับขึ้นมาจากจุดต่ำสุด 3.9% ตอบรับปัจจัยบวกจากการผ่อนคลายเงินเฟ้อและดอกเบี้ยไปบ้างแล้ว ส่วนหุ้นแนะนำวันนี้เน้นไปที่ Defensive อาทิ โรงพยาบาล (BCH CHG) สื่อสาร (ADVANC) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันปรับลดลง (SCC SCGP TOA) รวมไปถึงพวกกลุ่มขายสินค้าฟุ่มเฟือย (COM7 HMPRO ILM)

Pi Stock Picks

BCH (ชื้อ / ราคาเป้าหมาย 21.00 บาท)

หากไม่รวมรายได้จากเคสโควิด-19 คาดว่ากำไรปี 2022-23 จะก้าวกระโดดขึ้น 2.5 เท่า/1.8 เท่า ตามลำดับ เทียบกับช่วงก่อนเกิดโควิด-19 จึงเชื่อว่าธุรกิจหลักยังมีภาพรวมที่ดี

SAT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 22.70 บาท)

แนวโน้มในช่วง 2H22 คาดว่าจะเห็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ในแง่รายได้หลังจากจะมีการรับรู้รายได้จาก Ford เข้ามาเต็มที่ แต่ปัญหาเรื่องต้นทุนยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

- Advertisement -