บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)
Action BUY (Maintain)
TP upside (downside) +16.4%
Close Aug 1, 2022 Price (THB) 82.50
12M Target (THB) 96.00
Previous Target (THB) 115.00
What’s new?
- คาดกำไรปกติ 2Q65 ที่ 1,331 ล้านบาทเติบโต QoQ และ YoY โดยได้แรงหนุนจาก 1) ประสิทธิภาพที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์หลังการเปลี่ยนแผน Solar 2) กระแสลมที่ดีขึ้น QoQ และ YoY และ 3) การ ปรับขึ้นค่า Ft ของ กกพ.
- ปรับประมาณการปี 2565-66 ลงเป็น 7,448 ล้านบาท และ 7,611 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อให้มีความรัดกุมมากขึ้น เนื่องการส่งมอบรถ EV Bus ที่ช้ากว่าคาด และมีโอกาสที่การเปลี่ยนผ่าน EV ที่มีโอกาสช้ากว่าคาดในภาวะ Recession
Our view
- กำไรปกติ 2H65 มีโอกาสเร่งตัวขึ้น HoH และ YoY จากการส่งมอบรถ EV Bus ตั้งแต่ 3Q65 เป็นต้นไป รวมถึงได้อานิสงค์จากการปรับขึ้นค่า Ft ของ กกพ.
- ผลจากการปรับประมาณการส่งผลให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ลดลงเป็น 96.00 บาท/หุ้น โดยราคา ปัจจุบันซื้อขายอยู่บน EV/EBITDA เพียง 25.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ซึ่งหากพิจารณาจากแผน ธุรกิจในปัจจุบันของ EA จะเห็นได้ว่ามีโอกาสเติบโตสูงกว่าในอดีต จึงคาดราคาหุ้นเริ่มมี Downside ที่จํากัดแล้ว คงคำแนะนำ “ซื้อ”
ENERGY ABSOLUTE คาดกําไรปกติ 2Q65 ยังโต แม้ไม่มีการส่งมอบ EV Bus
คาดกำไรปกติ 2Q65 เติบโต QoQ และ YoY
คาดรายได้รวม 2Q65 ที่ 4,954 ล้านบาท (+5% QoQ, +1% YoY) โดยได้แรงหนุนหลักจาก 1) ปัจจัยฤดูกาลและประสิทธิภาพที่สูงขึ้นจากการเปลี่ยนแผง Solar ของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 2) รายได้จากโรงไฟฟ้าพลังงานลมที่สูงขึ้น QoQ และ YoY ตามกระแสลมที่ดีขึ้น (ฝนเลื่อนฤดูกาลมาเร็วกว่าปกติ) และ 3) การปรับขึ้นค่า Ft สำหรับงวด พ.ค. – ส.ค. ของกกพ. ทำให้ได้รับอัตราค่าไฟฟ้าต่อหน่วยสูงขึ้น QoQ และ YoY คาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ 39.1% เพิ่มขึ้นจาก 38.7% ใน 1Q65 และ 37.0% ใน 2Q64 จาก Capacity Factor ที่สูงขึ้นของโรงไฟฟ้าพลังงานลม (ต้นทุนหลักคือค่าเสื่อมราคาที่เป็นต้นทุนคงที่) คาดค่าใช้จ่าย SG&A ที่ 347 ล้านบาท (+8% QoQ, +11% YoY) เป็นผลมาจากการผลิต EV Bus เพื่อเตรียมส่งมอบใน 2H65 และการ COD โรงงานแบตเตอรี่ในช่วง 4Q64 เราจึงคาดกำไรปกติ 2Q65 ที่ 1,331 ล้านบาท (+4% QoQ, +15% YoY) หากกำไรปกติ 2Q65 ออกมาใกล้เคียงคาด จะทำให้กำไรปกติ 1H65 คิดเป็นสัดส่วน 34% ของประมาณการทั้งปี
ปรับประมาณการลงเพื่อให้มีความรัดกุมมากขึ้น
เนื่องจาก EA ยังไม่ได้มีการส่งมอบรถ EV Bus ใน 1H65 (ติดปัญหาเกี่ยวกับศุลกากร) และเศรษฐกิจเริ่มมีความเสี่ยงในการเข้าสู่ภาวะ Recession จากอัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่อง เราจึงปรับสมมติฐานการส่งมอบรถ EV Bus ในปี 2565-66 ลงเป็น 1,200 คันและ 1,800 คันจากเดิม 1,500 คันและ 2,000 คัน ตามลำดับ เพื่อให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น และสะท้อนการเปลี่ยนสู่ EV ของภาคอุตสาหกรรมที่มีโอกาสช้ากว่าคาด (มีโอกาสชะลอการซื้อรถ EV ในช่วง Recession) ส่งผลให้ประมาณการปี 2565-66 ลดลง 13-15% เป็น 7,448 ล้านบาท (+32% YoY) และ 7,611 ล้านบาท (+2% YoY) ตามลำดับ โดยสมมติฐานของเรา ถือว่าค่อนข้างอนุรักษ์นิยมแล้ว เนื่องจากยังต่ำกว่าเป้าหมายของบริษัทฯ ที่ 1,500 คันอยู่ราว 20%
แนวโน้มครึ่งปีหลังอยู่ในเกณฑ์ดี ได้แรงหนุนจากการส่งมอบรถ EV Bus
คาดกำไรปกติ 2H65 เร่งตัวขึ้นทั้ง HoH และ YoY แม้ธุรกิจไบโอดีเซลจะยังได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง (ภาครัฐปรับลดสัดส่วนผสมไบโอดีเซล) เพราะได้แรงหนุนหลักมากจากการส่งมอบรถ EV Bus ที่จะเริ่มมีการส่งมอบตั้งแต่ช่วง 3Q65 เป็นต้นไป (คาดส่งมอบราว 400-500 คันใน 3Q65) รวมถึงปัจจัยฤดูกาลของโรงไฟฟ้าพลังงานลมในไทย และการปรับขึ้นค่า Ft ของ กกพ. สำหรับงวด ก.ย. – ธ.ค. อีกไม่ต่ำกว่า 68.66 สตางค์/หน่วย (ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจโรงไฟฟ้าสูงขึ้น HoH) นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีแผนเปิดตัวรถ EV Truck ใน 2H65 (มีการส่งให้หน่วยงานรัฐทดลองใช้บ้างแล้ว) คาดบริษัทฯจะเริ่มส่งมอบรถ EV Truck ได้ใน 4Q65 จึงมีแนวโน้มที่กำไรปกติ 3Q65 และ 4Q65 จะสามารถทำระดับสูงสุดใหม่รายไตรมาสได้อย่างต่อเนื่อง
ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 96.00 บาท/หุ้น คงคำแนะนำ “ซื้อ”
ผลจากการปรับประมาณการลง ทำให้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ลดลงเป็น 96.00 บาท/หุ้น (รวม Premium 2% จากระดับ Yuanta ESG Rating ที่ AA) ราคาปัจจุบันซื้อขายอยู่บน EV/EBITDA ปี 2565 ที่ 25.4 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย EV/EBITDA ย้อนหลัง 5 ปี และเมื่อเทียบกับแผนธุรกิจปัจจุบันของ EA ที่มีการลงทุนในธุรกิจ EV และแบตเตอรี่ที่มีโอกาสเติบโตสูง เราจึงมองว่าราคาหุ้นเริ่มมี Downside ที่จำกัดแล้ว คงคำแนะนำ “ซื้อ”