บล.เอเซีย พลัส:

2Q65 คาดทําไรอ่อนตัว และยังทรงตัวใน 3Q65

คาดกำไรสุทธิงวด 2Q65 ลดลง 46.1%qoq มาอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท กดดันทั้งจากรายการ Fx loss และกำไรปกติที่คาดอ่อนตัว 5.9%qoq มาอยู่ที่ 3.1 พันล้านบาท จากโรงไฟฟ้า BRK2 ที่กระแสลมอ่อนตัวตามฤดูกาล แม้จะรับรู้ GSRC phase 3 เข้ามาไตรมาสแรกก็ตาม ช่วง 3Q65 คาดกำไรปกติยังทรงตัวใกล้เคียงในระดับเดิม แม้มี การรับรู้โครงการลม 85 MWe แต่คาดถูกหักล้างจากผลประกอบการ BRK2 ที่ลดลง ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 65 เป็นต้นไป สะท้อนการรับรู้โครงการลม 85 MWe ส่งผลให้ FV ใหม่ปี 2565 อยู่ที่ 53 บาท/หุ้น (เดิม 52) โดยยังมี upside ส่วนเพิ่มจากโครงการโรงไฟฟ้าที่ยังไม่ถูกรวมในประมาณการอีก 2 โครงการ ได้แก่ 1) Pak Beng ราว 1.5-2.5 บาท/หุ้น และ 2) Pak Lay ราว 1-2 บาท/หุ้น ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นผ่านการปรับฐานลงบ้างแล้วระดับหนึ่ง จนเริ่มเห็น upside กว่า 13% จึงแนะนำให้หาจังหวะทยอยสะสมลงทุน รับการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะยาว

คาดทั้งทําไรสุทธิ และกำไรปกติ 2Q65 อ่อนตัว QoQ

ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิงวด 2Q65 จะลดลง 46.1%qoq มาอยู่ที่ 1.8 พันล้านบาท กดดันหลักจากรายการพิเศษ Fx ที่คาดจะบันทึกกลับเป็นผลขาดทุนราว 1.2 พันล้านบาท ประกอบด้วย 1) ขาดทุน FX ในส่วนของบริษัทใหญ่ 758.3 ล้านบาท 2) ขาดทุน Fx และตราสารอนุพันธ์ในส่วนของบริษัทร่วมรวม 474.7 ล้านบาท เทียบกับงวด 1Q65 ที่บันทึก เป็นกำไร 137.7 ล้านบาท ประกอบด้วย 1) กำไร Fx ในส่วนของบริษัทใหญ่ 131.7 ล้านบาท 2) กำไร Fx และผลขาดทุนตราสารอนุพันธ์ในส่วนของบริษัทร่วมรวม 6.0 ล้านบาท

อีกทั้งคาดกำไรปกติงวด 2Q65 จะอ่อนตัวลงราว 5.9%qoq มาอยู่ที่ 3.1 พันล้านบาท กดดันจากกำไรขั้นต้นที่คาดลดลง 4.6%qoq มาอยู่ที่ 4.4 พันล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) คาดจะลดลงมาอยู่ราว 19.2% จาก 22.1% ในงวดก่อนหน้า เนื่องจากโรงไฟฟ้าพลังงานลม BKR2 ผลิตไฟฟ้าได้ลดลงตามกระแสลมที่อ่อนตัวตามการเข้าสู่ช่วง Low season ในประเทศเยอรมนี ถึงแม้ว่าคาดรายได้จากการขายไฟฟ้าโดยรวมจะเพิ่มขึ้น 10.0%qoq มาอยู่ที่ 2.2 หมื่นล้านบาท จากการรับรู้โครงการ GSRC phase 3 กำลังการผลิต 463.8 MWe (COD 31 มีนาคม 2565) ได้เต็มไตรมาสในครั้งแรกก็ตาม รวมถึงส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมที่ไม่รวมผลกระทบจาก Fx และตราสาอนุพันธ์ คาดปรับตัวลดลง 3.9%qoq มาอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท โดยหลักเป็นผลมาจากผลการ ดำเนินงานของกลุ่มโรงไฟฟ้า GJP ที่คาดอัตรากำไรขั้นต้นอ่อนตัวจากต้นทุนเชื้อเพลิงที่คาดปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ส่วนแบ่งกำไร INTUCH คาดยังทรงตัวใกล้เคียงในระดับเดิมที่ 1.1 พันล้านบาท นอกจากนี้คาดจะรับรู้รายได้ปันผลรับจาก SGPC ราว 50.7 ล้านบาท จากงวด 1Q65 ที่ไม่มีการบันทึกรายการดังกล่าว

แต่อย่างไรก็ตาม คาดค่าใช้จ่าย SG&A จะเพิ่มขึ้น 7.9%qoq มาอยู่ที่ 595.0 ล้านบาท จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายในการเปิดดำเนินการ GSRC phase 3 และต้นทุนทางการเงินที่คาดจะเพิ่มขึ้น 5.5%qoq มาอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท จากการออกหุ้นกู้ของทางบริษัท

โดยรวมแล้วกำไรปกติ 1H65 คิดเป็น 45.3% ของประมาณการทั้งปี 2565 เดิมที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้

เข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุน 50% ใน GULF GUNKUL เพิ่มมูลค่าอีก 1 บาท/หุ้น

GULF ประกาศเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนออกใหม่จำนวน 11.17 ล้านหุ้น (par 100 บาท) ราคาหุ้นละ 447.63 บาท คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุน 5 พันล้านบาทในบริษัท กัลฟ์ กันกุล คอร์เปอเรชั่น จำกัด (Gulf Gunkul Corporation) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ GUNKUL ถือหุ้น 100% เพื่อดำเนินแผนขยายธุรกิจพลังงานหมุนเวียนร่วมกับ GUNKUL ในอนาคต โดยภายหลังจากธุรกรรมแล้วเสร็จจะส่งผลให้ GULF และ GUNKUL ถือหุ้นในบริษัทร่วมทุน ดังกล่าวที่ 50:50

ทั้งนี้ Gulf Gunkul Corporation ดำเนินธุรกิจโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม จำนวน 3 บริษัท กำลังการผลิตติดตั้งรวมทั้งสิ้น 170 เมกะวัตต์ ประกอบด้วย

1) บริษัทพลังงานลม จำกัด กำลังการผลิตติดตั้ง 60 เมกะวัตต์

2) บริษัทกรีโนเวชั่น เพาเวอร์ จำกัด กำลังการผลิตติดตั้ง 60 เมกะวัตต์

3) บริษัท โคราชวินด์ เอ็นเนอร์ยี จำกัด กำลังการผลิตติดตั้ง 50 เมกะวัตต์

ซึ่งทั้ง 3 โครงการเปิด COD แล้วในปี 2559 2561 และ 2561 ตามลำดับ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเป็นระยะเวลา 25 ปี และได้รับส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า (Adder) ในอัตรา 3.50 บาทต่อกิโลวัตต์เป็นเวลา 10 ปี นับจาก COD ทั้ง 3 โครงการ

การเข้าลงทุนในครั้งนี้จะส่งผลให้ GULF มีกำลังการผลิตตามสัดส่วนถือหุ้น 50% เพิ่มขึ้น 85 MWe มาอยู่ที่ 8.8 พัน MWe และสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากกลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานลม ทั้ง 3 โครงการเข้ามาในงบการเงินได้ทันทีตั้งแต่ 3Q65 เป็นต้นไป โดย ณ สิ้นงวด 1Q65 กลุ่มโรงไฟฟ้าพลังงานลมมีกำไรสุทธิที่ 229.3 ล้านบาท ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่าปี 2565 GULF จะสามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการดังกล่าวที่ราว 351.4 ล้านบาท และในปี 2566-69 คาดจะอยู่ที่ราว 700-800 ล้านบาท จากนั้นคาดจะค่อยๆ ทยอยลดลงมาอยู่ราว 200-300 ล้านบาทภายหลังจาก Adder หมดลงทุกโครงการคิดเป็น EIRR เฉลี่ยราว 17.2% และมูลค่าพื้นฐานปี 2565 ของโครงการดังกล่าวอยู่ที่ 1 บาท/หุ้น

ปรับประมาณการกำไรปี 65 เป็นต้นไป สะท้อนการรับรู้โครงการลม 85 MWE …ช่วงสั้น 3Q65 ทิศทางกำไรคาดยังทรงตัวใกล้เคียง 2Q65

ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2565 เป็นต้นไป เพื่อสะท้อนการรวมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม กำลังการผลิตตามสัดส่วนการถือหุ้น 50% ที่ 85 MWe ไว้ในประมาณการ ซึ่งภายใต้ประมาณการใหม่ ส่งผลให้กำไรปกติปี 2565-66 เพิ่มขึ้น 2.5% และ 4.6% จากเดิมมาอยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท และ 1.6 หมื่นล้านบาท ตามลำดับ

ช่วงสั้น 3Q65 คาดกำไรปกติยังทรงตัวใกล้เคียงในระดับเดิมกับงวด 2Q65 แม้จะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วม GULF GUNKUL เข้ามาในไตรมาสแรก ประกอบกับได้รับอานิสงค์บางส่วนจากการปรับขึ้นค่า ft อีก 68.6 สตางค์/หน่วย ในเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2565 แต่คาดยังมีปัจจัยกดดันจากการเข้าสู่ช่วง low season ของโรงไฟฟ้า BRK2 ประกอบกับต้นทุนพลังงานก๊าซฯ ที่ยังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง

FV ใหม่ปี 2565 อยู่ที่ 53 บาท/หุ้น แนะนําทยอยสะสมลงทุนระยะยาว

ภายใต้ประมาณการใหม่ ส่งผลให้มูลค่าพื้นฐานปี 2565 อยู่ที่ 53 บาท/หุ้น (เดิม 52) โดยยังมี upside ส่วนเพิ่มจากโครงการโรงไฟฟ้าที่ยังไม่ถูกรวมในประมาณการอีก 2 โครงการ ได้แก่ 1) Pak Beng ราว 1.5-2.5 บาท/หุ้น และ 2) Pak Lay ราว 1-2 บาท/หุ้น ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้นผ่านการปรับฐานลงบ้างแล้วระดับหนึ่งจนเริ่มเห็น upside กว่า 13% จึงแนะนำให้หาจังหวะทยอยสะสมลงทุน รับการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะยาว

GULF แนะนํา ซื้อ

ราคาปัจจุบัน (บาท) 47.25

ราคาเป้าหมาย (บาท) 53.0

Upside (%) 13.9

Dividend yield (%) 1.7

 

- Advertisement -