ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ปรับฐานต่อ แต่มองลงไม่ลึก น่าสะสม
ฝ่ายวิจัย KGI ประเมิน SET Index วันพุธปรับลงต่อ แต่ไม่น่าลงแรง… หลังจากเมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยอ่อนแอกว่าที่เราคาด ตามแรงขายทำกำไรในหุ้นใหญ่อย่าง DELTA ที่ขึ้นแรงก่อนหน้านี้ รวมทั้งความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เพิ่มขึ้น ตามแผนการเยือนไต้หวันของประธานสภาฯ Nancy Pelosi ขณะที่ในวันนี้ ปัจจัยโดยรวมต่อตลาดยังเป็นลบเล็กน้อย โดยหลังจากนาง Pelosi เดินทางถึงไต้หวันแล้วทางการจีนได้แถลงประณามสหรัฐฯ, ประกาศซ้อมรบด้วยอาวุธจริงในช่วงวันพฤหัสถึงวันอาทิตย์นี้ รวมทั้งแบนการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคบางรายการจากไต้หวัน… ซึ่งความตึงเครียดดังกล่าวน่าจะเป็นลบต่อจิตวิทยาการลงทุนในเอเชียวันนี้ แต่ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่าจะเป็นเพียงระยะสั้น และเชื่อว่าประเด็นนี้จะไม่พัฒนาไปสู่ปฏิบัติการทางทหารระหว่างสหรัฐฯ และจีน… ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ในตลาดหุ้นไทยยังค่อนข้างดีในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ตามธีมใหญ่ของการที่ US Fed น่าจะขึ้นดอกเบี้ยช้าลงในระยะถัดไป รวมทั้งเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และของประเทศในฝั่งตะวันตกที่มีแนวโน้มอ่อนแอกว่าฝั่งเอเชียในช่วงที่เหลือของปีนี้ และปี 2566… ด้านปัจจัยภายในประเทศ ยังเป็นช่วงการรายงานผลประกอบการไตรมาสสอง รวมทั้งการให้แนวโน้มครึ่งปีหลังจากทางผู้บริหาร ซึ่งจะมีผลสำคัญต่อทิศทางราคาหุ้นในช่วงที่ปัจจัยต่างประเทศยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่
หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน
เก็งกำไร BCH*, SNNP, ECL
- BCH* (เป้าพื้นฐาน 28 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 20.3 บาท / แนวต้าน 21.0 – 21.5 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินมีโอกาสทดสอบแนวต้านถัดไป +/- 22 บาท (Stop loss 19.9 บาท) 2) ประเมินแนวโน้มกำไร 2Q65 ยังเติบโตแบบ YoY แม้จะชะลอตัวลง QoQ เนื่องจากคาดว่าเป็นผลจากการผ่านพ้นช่วงวิกฤตโควิด-19 อย่างไรก็ดี เราคาดจำนวนผู้ป่วย Non-โควิด โดยเฉพาะผู้ป่วยต่างชาติ จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญใน 2H65 ตามการกลับมาเปิดประเทศต้อนรับต่างชาติ 3) Valuation ไม่แพง Forward PE ต่ำเพียง 11.4 เท่า ขณะที่เป็นหุ้น Safe haven คาดมีโอกาสที่จะเป็นเป้าหมายการลงทุน กรณีที่ตลาดกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวและปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์
- SNNP (เป้า Consensus 19.85 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 15.5 บาท / แนวต้าน 15.9 – 16.5 บาท (Stop loss 15.2 บาท) 2) Consensus คาดกําไร 2Q65 โต +52% YoY เป็น +116 ล้านบาท และเรา คาด Earnings momentum จะดีขึ้นเรื่อยๆ ทุกไตรมาสจนถึง High season 4Q65 – 1Q66 เป็นอย่าง น้อย จาก i) การฟื้นตัวของการบริโภคในประเทศและในภูมิภาค ii) ต้นทุนวัตถุดิบเริ่มทรงตัว ขณะที่ทําการปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นไปแล้วในช่วงที่ผ่านมา ดังนั่นมีโอกาสที่อัตรากําไรจะดีกว่า Consensus คาด iii) การเปิดโรงงานใหม่ที่เวียดนามใน 4Q65 3) Forward PE ปีนี้ +/ 31 เท่า และคาดจะลดลงเหลือ +/- 25 เท่าในปีหน้า โดย Consensus คาดกำไรปีหน้าโต +24% YoY
- ECL (เป้าพื้นฐาน 3.4 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 2.36 บาท / แนวต้าน 2.48 – 2.58 บาท กรณี Break ผ่านกรอบแนวต้านนี้ได้ ประเมินมีโอกาสทดสอบกรอบแนวต้านถัดไป 2.8 – 3.0 บาท (Stop loss 2.2 บาท) 2) ประเมินกำไรปีนี้ทะลุ 200 ล้านบาท ทำจุดสูงสุดใหม่ หลังการปรับคุณภาพสินทรัพย์และการคัดกรองสินเชื่อใหม่ ทำให้หนี้เสียลดลงและพร้อมกลับมาปล่อยสินเชื่อรถยนต์มือสองเชิงรุกปีนี้ (คาดปีนี้ปล่อยสินเชื่อใหม่ +2 พันล้านบาท) 3) คาด NIM ยืนสูงต่อเนื่องจากจาก i) ดอกเบี้ยรถยนต์มือสองของ ECL ที่ยังต่ำเพียง +/-11% (ยังต่ำกว่าเพดานมาก) ii) เปิดสินเชื่อรถแลกเงินให้ลูกค้าเก่าใน 3Q65 iii) ได้เงินทุนต้นทุนต่ำจาก Sumitomo Mitsui Banking Corporation: SMBC ด้วยต้นทุนดอกเบี้ยรวมอัตราค่าค้ำประกันที่เพียง 2.6% 4) Valuation ไม่แพง PBV 1.4 เท่า (ค่าเฉลี่ยในอดีต = 1.3 เท่า) ขณะที่คาดกำไรทำนิวไฮ
หุ้นมีข่าว
(0) กสทช.เคาะฟันธง TRUE DTAC 10 ส.ค. ผู้บริโภคอื่น “หมื่นรายชื่อ” คัดค้าน (กรุงเทพธุรกิจ) สำนักงาน กสทช.ชงวาระพิจารณาดีลควบรวมทรู-ดีแทค หลังสรุปรายงานจากอนุฯ 4 ชุด พ่วงผลศึกษาจากที่ปรึกษาฯ คาดบอร์ดรับหนังสือสรุปขอเวลา 1 สัปดาห์ เคาะวันฟันธงดีล 10 ส.ค.นี้ ด้านสภาผู้บริโภคเสียงเข้ม ระบุ กสทช.ต้องยืนข้างประชาชน ยื่นหมื่นรายชื่อคัดค้านควบรวมธุรกิจ “สุภิญญา” กสทช.ต้องปลดล็อกปัญหาผูกขาด ขณะที่นักวิชาการย้ำดีลฉุด จีดีพี-เศรษฐกิจประเทศ
(0) กกพ.ลุยค่าไฟ 4.72 บาท วัดใจ “ตู่” ชะลอขึ้น! (ข่าวหุ้น) กกพ.” ลุยขึ้นค่า Ft งวดก.ย.-ธ.ค.นี้ 68.66 สตางค์ต่อหน่วย สะท้อนต้นทุนเชื้อเพลิง เมื่อรวมค่าไฟฟ้าฐานเฉลี่ยจะอยู่ที่ 4.72 บาทต่อหน่วย วัดใจนายกฯ “ตู่” เรียกคุย 4 ส.ค.นี้ หวังเบรกขึ้นค่าไฟฟ้า แจงอย่าผลักภาระ กฟผ.มากเกินไป หวั่นพอกหนี้เกิน 1 แสนล้านบาท อาจล้มละลายได้ แนะรัฐเร่งหางบประมาณดูแลค่าไฟฟ้าเพิ่ม การเตรียมชี้แจง 5 ส.ค.นี้
(0) ปตท. ปลดทุกข์ขายทิ้ง ถ่านหินอินโด 1.7 หมื่นล. (ข่าวหุ้น) PTT ขายทิ้งธุรกิจถ่านหินในอินโดนีเซีย ให้กับ PT Astrindo Nusantara Infrastruktur Tbk บริษัทในเครือ Astrindo มูลค่าประมาณ 1.7 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะดำเนินการซื้อขายแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/65
(+) PSH* รุกเฮลธ์เทค ลงทุนใน AMILI ต่อยอดธุรกิจรพ. (ทันหุ้น) PSH* รุกธุรกิจเฮลธ์เทคในต่างประเทศ ล่าสุดเข้าร่วมลงทุนใน AMILI สัญชาติสิงคโปร์ ต่อยอดธุรกิจโรงพยาบาลวิมุตและเทพธารินทร์ ชูนวัตกรรมใหม่ทางการแพทย์ ไมโครไบโอมในระบบทางเดินอาหาร ไขความลับด้านสุขภาพ
(+) ORI* ดันลูก PRI เข้าตลาด เสริมแกร่งธุรกิจหนุนโต (ทันหุ้น) ORI* ดัน “พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น” Spin-Off เข้าตลาดหุ้นตามแผน Origin Multiverse เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและการขยายธุรกิจเชิงรุก เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนพันธมิตรร่วมทุน หนุนผลประกอบการเติบโตก้าวกระโดด
หุ้นที่แนะนำก่อนหน้า
- BDMS* (เป้าพื้นฐาน 31 บาท) แนวรับ 26.5 บาท / แนวต้าน 27.5 บาท หากผ่านได้แนะนำ “Let profit run” (Trailing stop 26 บาท)
- PTG* (เป้าพื้นฐาน 17.8 บาท) แนวรับ 14.8 บาท / แนวต้าน 15.3 บาท หากผ่านได้แนะนำ “Let profit run” (Trailing stop 14.5 บาท)
- COM7* (เป้าพื้นฐาน 52 บาท) แนวรับ 32 บาท / แนวต้าน 34-35.5 บาท หากผ่านได้แนะนำ “Let profit run” (Trailing stop 30 บาท)
- BGRIM* (เป้าพื้นฐาน 41 บาท) แนวรับ 38.5 บาท / แนวต้าน 40 บาท หากผ่านได้แนะนำ “Let profit run” (Trailing stop 38 บาท)
- OTO (เป้าพื้นฐาน 16.2 บาท) แนวรับ 17.7 บาท / แนวด้าน 18.5-18.9 บาท (Trailing stop 17.0 บาท)
- ILM (เป้า SAA Consensus 21.45 บาท) แนวรับ 16.7 บาท / แนวต้าน 18.2-18.9 บาท (Trailing stop 16.5 บาท)
- NEX (เป้า Consensus 22.8 บาท) แนวรับ 16.4 บาท / แนวต้าน 17.0-17.6 บาท (Trailing stop 16.0 บาท)
- GPSC* (เป้าพื้นฐาน 82 บาท) แนวรับ 68 บาท / แนวต้าน 70.5-72.5 บาท (Stop loss 67 บาท)
- KBANK* (เป้าพื้นฐาน 188 บาท) แนวรับ 144 บาท / แนวต้าน 148-152 บาท (Stop loss 142 บาท)
- IP (เป้า Consensus 24.9 บาท) แนวรับ 17.9 บาท / แนวต้าน 18.4-19.0 บาท (Stop loss 17.4 บาท)
- HMPRO* (เป้าพื้นฐาน 17.5 บาท) แนวรับ 13.3 บาท / แนวต้าน 13.7-14.0 บาท (Stop loss 13.0 บาท)
สรุป Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้
- MAJOR* แนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 26.75 บาท ฝ่ายวิจัยฯ คาดกำไร 2Q65 = 115 ล้านบาท (Turnaround YoY, +379% QoQ) โดยมีกำไรพิเศษราวจากค่าสินไหมประกันภัย หากพิจารณากำไรจากการดำเนินงานไตรมาสนี้คาดจะอยู่ที่ 160 ล้านบาท (+151% QoQ)
- BEC* แนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 15.3 บาท ฝ่ายวิจัยฯ คาดกำไร 2Q65 = 176 ล้านบาท (-5% YoY, +1% QoQ) ทั้งนี้จากผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจกดดันงบใช้จ่ายโฆษณาฝ่ายวิจัยฯ จึงปรับลดประมาณการฯลง และปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 15.3 บาท (เดิม 18 บาท) ราคาหุ้นยังมี Upside จากราคาเป้าหมายใหม่ จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”
- HMPRO* แนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 17.5 บาท จากการประชุมนักวิเคราะห์ มุมมองเป็นบวก คาดอัตรากำไรปีนี้จะสามารถกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดวิกฤตโควิค-19 ได้ อย่างไรก็ดี ผลการดำเนินงาน 3Q65 จะเข้าสู่ Low season เป็นโอกาสสะสม
- ESSO* แนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 14.1 บาท ฝ่ายวิจัยฯ คาดกำไร 2Q65 = 8.1 พันล้านบาท (+839% YoY, +37% QoQ) โดยกำไรที่คาดจะโตเด่นในไตรมาสนี้เป็นผลจากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นมาก และคาดจะมีการจ่ายปันผลระหว่างกาล +0.8 บาท/หุ้น (Yield +7%)