บล.เอเซีย พลัส:
ปรับลดประมาณการ…คาดงบ 2Q65 ยังไม่ฟื้น
คาดกำไรปกติ 2Q65 เท่ากับ 9 ล้านบาท ลดลง 30.6%qoq กดดันจากรายได้ที่ลดลง ตามคำสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์ที่ลดลงในช่วง Low season อีกทั้งลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อ เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่แพงขึ้น ในขณะที่แนวโน้ม Gross margin ยังทรงตัวต่ำกว่าระดับปกติกดดันจากราคาวัตถุดิบฟิล์มที่ปรับขึ้นตามราคาน้ำมันโลกที่ยืนสูง อีกทั้งมี การรับรู้ค่าใช้จ่ายจากการทำดีลต่างๆ เพิ่มขึ้น
ปรับลดประมาณการกำไรปี 65 ลง 25.2% จากเดิม สะท้อนรายได้ และ Gross margin ที่คาดจะต่ำกว่าประมาณการเดิม ส่งผลให้แนวโน้มกำไรสุทธิปี 2565 ลดลง 49.7%yoy เหลือ 75 ล้านบาท ให้น้ำหนักกำไรไปในช่วง 2H65 ที่จะฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ทิศทางกำไรปี 66 จะพลิกกลับมาฟื้นตัว 57.5%yoy จากฐานที่ต่ำมาก กำหนด FV ปี 2565 ใหม่ที่ 2.60 บาท และ FV ปี 2566 ที่ 4.00 บาท อิง PER 30 เท่าเดิม โดยยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงด้านราคาต้นทุนวัตถุดิบสูง และความกังวลเงินเฟ้อ ที่อาจทำให้เกิดการชะลอคำสั่งซื้อของลูกค้า ระยะสั้นยังคงคำแนะนำ Switch
แนวโน้มกำไร 2Q65 ลดลงอีก 30.6%QoQ
ฝ่ายวิจัยคาดกำไรปกติงวด 2Q65 เท่ากับ 9 ล้านบาท ลดลงมา 30.6%qoq และ 75.8% yoy จากคาดการณ์รายได้จากการขายที่ปรับลดลง 4.7%qoq มาอยู่ที่ 403 ล้านบาท ตามผลของยอดคำสั่งซื้อบรรจุภัณฑ์ Flexible packaging ที่ลดลงในช่วง Low season อีกทั้ง ลูกค้าบางส่วนมีการชะลอคำสั่งซื้อ เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่แพงขึ้น ประกอบกับแนวโน้ม Gross margin ในงวด 2Q65 ที่คาดจะปรับลดลงมาอยู่ที่ 12.8% จาก 13.3% ในงวด 1Q65 เนื่องจากยังถูกกดดันจาก 1) ราคาวัตถุดิบฟิล์ม เช่น เลซิ่น, LLDPE ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตามราคาน้ำมันโลก ถึงแม้บริษัทฯจะมีการปรับราคาขายขึ้นแล้วแต่ยังไม่สามารถครอบคลุมได้หมด 2) การย้ายเครื่องจักรจากโรงงานแพรกษาบางส่วนไปที่โรงงานบางบ่อใหม่ ในช่วงแรกมีปัญหาบางส่วนจึงทำให้มีอัตราของเสีย (Scape rate) ที่สูง 3) ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง ซึ่งจะกดดันประสิทธิภาพการทำกำไรของบริษัทให้ลดลง เนื่องจากมีการสั่งของจากต่างประเทศที่คิดเป็นสกุลดอลล่าร์ราว 20% ของต้นทุนทั้งหมด ทั้งนี้จากรายได้และ Gross margin ที่ลดลงส่งผลให้แนวโน้มกำไรขั้นต้นปรับตัวลดลง 8.2%qoq มาอยู่ที่ 52 ล้านบาท
ในขณะที่คาดการณ์สัดส่วน SG&A/Sales ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 11.0% จาก 10.4% ในงวด 1Q65 เพราะมีค่าใช้จ่ายในการทำดีล และค่าใช้จ่ายที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital asset เพิ่มเติมเข้ามา นอกจากนี้คาดว่าค่าใช้จ่ายทางการเงินจะทรงตัวใกล้เคียงงวดก่อนที่ 1.4 ล้านบาท และคาดการณ์ค่าใช้จ่ายทางภาษีลดลงเหลือ 1.5 ล้านบาท จาก 2.7 ล้านบาท ในงวด 1Q65
โดยรวมแล้ว แนวโน้มกำไรปกติงวด 1H65 อยู่ที่ 23 ล้านบาท ลดลงถึง 70.8% yoy และคิดเป็นเพียง 23% ของประมาณการกำไรปกติปี 2565 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ก่อนปรับปรุง
ทิศทางกำไร 2H65 พื้นตัวแต่ยังไม่กลับสู่ระดับปกติ
จากแนวโน้มกำไร 2Q65 ที่จะต่ำกว่าคาดเดิมมาก ฝ่ายวิจัยได้ทำการปรับลดประมาณการกำไรปี 65 ลง 25.2% จากเดิม สะท้อนการปรับลดสมมติฐานรายได้รวมลดลง 5.6% จากเดิม มาอยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท ตามผลกระทบจากชะลอคำสั่งซื้อของลูกค้าตามความกังวลเศรษฐกิจชะลอตัว อีกทั้งยังปรับลดสมมติฐาน Gross margin ในปี 2565 ลดมาอยู่ที่ 13.7% จากเดิม 14.4% เนื่องจากยังให้น้ำหนักความเสี่ยงราคาต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องตามราคาน้ำมันที่ทรงตัวสูง ซึ่งจะมากดดันประสิทธิภาพการทำกำไรให้ลดลงอย่างมากกว่าคาดเดิม นอกจากนี้ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มสมมติฐานสัดส่วน SG&A/Sales มาอยู่ที่ 10.3% จากเดิม 9.6% จากค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารปรับตัวสูงและเพื่อให้สอดคล้องกับคาดการณ์สัดส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/Sales ในงวด 1H65 ที่ระดับ 10.2% ส่งผลให้ประมาณการใหม่มีแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2565 ลดลง 49.7%yoy มาอยู่ที่ 75 ล้านบาท จากปี 2564 ที่ทำกำไรได้ 149 ล้านบาท ยังไม่รวม Upsize จาก Inorganic growth จากการ ทําดีล M&A ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นช่วงปลายปี 2565 นี้
เบื้องต้น คาดกำไรปกติ 2465 จะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามช่วง High season แต่ยังไม่ได้ฟื้นกลับสู่ภาวะปกติ เนื่องจากยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงด้านต้นทุนวัตถุดิบบางชนิดที่ทรงตัวสูง อีกทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะยังคงกดดัน Gross margin ให้ฟื้นตัวล่าช้ากว่าคาด และความกังวลเงินเฟ้อที่อาจทำให้เกิดการชะลอคำสั่งซื้อของลูกค้ายังคงมีต่อเนื่องได้
แนวโน้มกำไรปี 2566 จะฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ
ในขณะที่ปรับลดประมาณการกำไรปี 2566 ลง 20.8% จากเดิม สะท้อนการปรับลดสมมติฐานรายได้รวมลดลง 2.3% จากเดิมมาอยู่ที่ 1.9 พันล้านบาท โดยยังให้น้ำหนักความ กังวลเศรษฐกิจชะลอตัวที่กดดันการบริโภคลดลง และปรับลดสมมติฐาน Gross margin ปี 66 ลง เหลือ 16.2% จากเดิม 17.3% เพื่อให้สอดคล้องกับประสิทธิภาพการทำกำไรปี 65 ที่ลดลงอย่างมีนัยยะ ประกอบกับต้นทุนวัตถุที่แพงจะทยอยลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามราคาน้ำมันลดลงกลับสู่ราคาที่แท้จริง นอกจากนี้ยังปรับเพิ่มสมมติฐาน SG&A/Sales ขึ้นมาอยู่ที่ 9.8% จากเดิม 9.2% เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้ม SG&A/Sales ปี 65 ที่ปรับขึ้นมาพอสมควร ทั้งนี้มองว่าทิศทางกำไรปี 2566 จะพลิกกลับมาเติบโต 58.4% yoy มาอยู่ ที่ 120 ล้านบาท จากฐานกำไรปี 2565 ที่ต่ำมาก รวมถึงรายได้จากการขายบรรจุภัณฑ์และ Gross margin ทยอยฟื้นตัวเล็กน้อย ตาม Product mix ที่จะเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์มาร์จิ้นสูง ในกลุ่มบรรจุภัณฑ์ทางการแพทย์
ระยะสั้นยังเผชิญปัจจัยเสี่ยง…แนะนํา SWITCH
ภายใต้ประมาณการใหม่ ได้ EPS ปี 2565 ใหม่ ที่ 0.08 บาท/หุ้น อิง PER เท่าเดิมที่ 30 เท่า จากค่าเฉลี่ยของกลุ่มบรรจุภัณฑ์, กลุ่มค้าปลีก และกลุ่มอาหาร&เครื่องดื่ม ประเมินมูลค่าพื้นฐาน ปี 65 ใหม่เท่ากับ 2.60 บาท/หุ้น (จากเดิม 3.40 บาท/หุ้น) รวมผล Dilution จากสมมติฐานการใช้สิทธิ SFLEX-W1 เต็มจำนวน ขณะที่มูลค่าพื้นฐานปี 2566 จะอยู่ที่ 4.00 บาท/หุ้น ระยะสั้นประเมินธุรกิจยังเผชิญความเสี่ยงด้านต้นทุนวัตถุดิบที่ทรงตัวสูง จึงคงคำแนะนำ Switch
ประเด็นความเสี่ยง
1) ความผันผวนราคาวัตถุดิบตั้งต้นหลักอย่าง “ฟิล์ม” ซึ่งขึ้นลงผันผวนตามน้ำมันดิบ, LLDPE, Caprolactam โดยหากต้นทุน ฟิล์มสูงขึ้นจะกดดันประสิทธิภาพการทำกำไรของ SFT
2) ความผันผวนของค่าเงินบาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ หากค่าเงิน บาทอ่อนค่าลง จะกดดันแนวโน้มกำไรสุทธิของ SFT
SFLEX แนะนํา SWITCH
ราคาปัจจุบัน (บาท) 3.68
ราคาเป้าหมาย ปี 65(บาท) 2.60
ราคาเป้าหมาย ปี 66 (บาท) 4.00
Upside (%) -29.3
Dividend yield (%) 1.1