บล.บัวหลวง:

Thai Union Group (TU TB/TU.BK)

TU – กำไรหลักตรงตามคาด; ไตรมาส 3/65 คาดกลับไปเติบโต YoY

กําไรสุทธิสูงกว่าคาด แต่กําไรหลักตรงตามคาด TU รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/65 ที่ 1.62 พันล้านบาท ลดลง 31% YoY และ 7% QoQ หากไม่รวมรายการพิเศษในไตรมาส 2/65 ได้แก่ กําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 475 ล้านบาท ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการปรับมูลค่ายุติธรรมของหุ้นบุริมสิทธิของเรด ล็อบสเตอร์ (RL) 424 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายในการปรับโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับการปิดโรงงาน Rugen Fisch ในเยอรมนี 195 ล้านบาท กําไรหลักอยู่ที่ 1.77 พันล้านบาท ลดลง 21% YoY แต่เพิ่มขึ้น 3% QoQ กําไรสุทธิดีกว่าที่เราคาด 7% เนื่องจากกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงกว่าคาด ในขณะที่กำาไรหลักเป็นไปตามที่เราคาด ยอดขายและอัตรากําไรขั้นต้นเป็นไปตามที่เราคาดเช่นกัน โดยอัตรากําไรขั้นต้นอยู่ที่ 17.4% ซึ่งใกล้กับที่เราคาดก่อนหน้าที่ 17.5% (แต่ยังคงต่ำกว่า 19% ในไตรมาส 2/64 แต่ใกล้เคียงกับ 17.5% ในไตรมาส 1/65) ทั้งนี้ส่วนแบ่งขาดทุนของ RL มากกว่าที่เราคาด 13%

ประเด็นสําคัญจากผลประกอบการ

กําไรหลักที่ลดลง YoY เนื่องจากอัตรากําไรขั้นต้นที่ลดลง (จากธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็ง และอาหารทะเลแปรรูป โดยหลักเนื่องมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น) ค่าใช้จ่ายด้านการขายและบริหารที่เพิ่มขึ้น (ค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง) ส่วนแบ่งขาดทุนของ RL ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งกลบยอดขายที่เพิ่มสูง และการกลับรายการไปเป็นเครดิตภาษี ยอดขายในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น 9% YoY ได้รับปัจจัยหนุนจากธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้ามูลค่าเพิ่ม (เพิ่มขึ้น 42% YoY) และอาหารทะเลแปรรูป (เพิ่มขึ้น 11%) แต่ยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งปรับตัวลดลง 7% YOY เนื่องจากการกลับ ไปสู่ภาวะปกติของตลาดในประเทศสหรัฐฯ ทั้งนี้ดีมานด์และราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้นเป็นปัจจัยหนุนให้ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าเติบโตก้าวกระโดด ยอดขายอาหารทะเลแปรรูปเพิ่มขึ้น แข็งแกร่งจากยอดขาย OEM ที่แข็งแกร่ง อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่อ่อนค่าอย่างมาก และราคาขายที่ปรับตัวสูงขึ้น RL รายงานส่วนแบ่ง ขาดทุนที่ 281 ล้านบาท ขาดทุนมากขึ้น 473% YoY และ 16% QoQ เนื่องจากต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นสำหรับธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปลดลงจากฐานที่สูงมากในปีที่แล้ว โดยลดลงจาก 22% ในไตรมาส 2/64 เหลือ 20.5% ในไตรมาส 2/65 ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นธุรกิจอาหารทะเลแช่แข็งลดลงอย่างมากจาก 11.5% เหลือ 6.6% ในไตรมาส 2/65 และอัตรากำไรขั้นต้นธุรกิจผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้ามูลค่าเพิ่มลดลงจาก 30.1% เหลือ 29.5% ในไตรมาส 2/65 (ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นระดับที่สูงกว่าระดับปกติอย่างมาก)

แนวโน้ม

เราประมาณการกำไรหลักในไตรมาส 3/65 ที่ 1.8 พันล้านบาท เติบโต 17% YoY (เนื่องจากปัญหาด้านต้นทุนที่คลี่คลายลง โดยมีปัจจัยหนุนมาจากราคาต้นทุนปลาทูน่าและแซลมอน และต้นทุนค่าแพ็คเกจจิ้งและส่วนผสม และค่าขนส่งที่ลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2565) และเพิ่มขึ้น 2% QoQ (หนุนโดยการเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 3) ถึงแม้ว่าราคาปลาทูน่าจะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งในไตรมาส 3/65 เนื่องจากการห้ามใช้อุปกรณ์และเครื่องมือบางประเภท (FAD) ในการจับปลา แต่ CFO เชื่อว่าราคาปลาทูน่าไม่น่าที่จะสูงกว่าช่วง 1,500-1,800 เหรียญสหรัฐ/ตัน ถึงแม้ว่าบริษัทได้ทำการปรับเป้าส่วนแบ่งขาดทุนจากธุรกิจ RL (ที่ไม่รวมการปรับปรุงทางบัญชีของสัญญาเช่า) เพิ่มสูงขึ้นจากก่อนหน้าที่คาดส่งนแบ่งขาดทุน 600-650 ล้านบาท ไปเป็น 900-950 ล้านบาท เพื่อสะท้อนขาดทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 แต่ผู้บริหารมีมุมมองในเชิงบวกว่าธุรกิจ RL น่าจะถึงจุดคุ้มทุนได้ ภายในไตรมาส 1/66 บริษัทคาดอัตรากำไรขั้นต้นที่ 17.5% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 (หรือคิดเป็นสูงกว่าในช่วงครึ่งแรกของปี 2565) โดยจะมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ยังคงยืนในระดับสูงของธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้ามูลค่าเพิ่ม และผลประกอบการของธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปและอาหารทะเลแช่แข็งที่คาด ว่าจะปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 สำหรับเป้าหมายในปี 2565 บริษัทปรับเป้าอัตราการเติบโตของยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 7-8% ไปเป็น 10-12% แต่ยังคงเป้าอัตรากำไรขั้นต้นในกรอบ 17.5-18%

สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไป

เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 ลงอีก 3% (เหลือ 7.09 พันล้านบาท) เพื่อสะท้อนค่าใช้จ่ายพิเศษที่บันทึกในไตรมาส 2/65 แต่ยังคงประมาณการกำไรหลักเท่าเดิมที่ 6.92 พันล้านบาท โดยราคาเป้าหมายอิงจากวิธี sum-of-its-parts ปรับลดลงอีก 4% (เหลือ 22.5 บาท)

คําแนะนํา

เรายังคงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” อ้างอิงจากกำไรหลักในครึ่งหลังของปี 2565 ที่จะกลับเติบโตอีกครั้ง YoY และการปลดล็อคมูลค่าหุ้น TU จากการนำ i-Tail เข้าตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี 2565

- Advertisement -