บล.เอเซีย พลัส:
กำไร 2Q65 พีค…รอลุ้นปันผล และราคาเพิ่มทุน
กำไรสุทธิ 2Q65 ขึ้นทำระดับสูงสุดรายไตรมาสเป็นประวัติการณ์ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 252.6%qoq ดีกว่าคาด โดยกำไรที่ดีขึ้นเป็นผลมาจากทั้งกำไรปกติที่เพิ่มขึ้นมีนัยฯ ถึง 398.7%qoq ตามค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 25.1 จาก 6.4 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล และบันทึกกำไรจากการขาย GPSC กว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ส่วนทิศทางกำไรปกติ 3Q65 คาดจะลดลง QoQ ตามค่าการกลั่นในปัจจุบันที่ลดลง จากแรกกดดันทางด้านความต้องการใช้ที่หดตัวตามภาวะเศรษฐกิจ
ปรับลดประมาณการปี 2565 สะท้อนการลดสมมติฐานค่าการกลั่นในปี 65 เป็น 13 จาก 15 เหรียญฯ โดยให้น้ำหนักความกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอยในช่วง 2H65 ภายใต้ประมาณการใหม่มูลค่าพื้นฐาน ณ สิ้นปี 2565 อิง DCF อยู่ที่ 65 บาทต่อหุ้น (เดิม 67) แนะนำซื้อ รอลุ้นรับปันผลที่สูงตามกำไร 1H65 ที่ดีมาก ส่วนการเพิ่มทุน TOP จะมีการประกาศรายละเอียดข้อสรุปเพิ่มทุนภายใน 3Q65
กำไร 2Q65 เติบโตมีนัยฯทั้งกำไรปกติและกำไรสุทธิ…ดีกว่าคาด
TOP รายงานกำไรสุทธิงวด 2Q65 เท่ากับ 2.5 หมื่นล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 252.6%qoq ดีกว่าที่คาดไว้ ซึ่งส่วนแตกต่างหลักมาจากกำไรจากสต๊อกน้ำมันรวม NRV และ Market GRM มากกว่าที่คาดไว้ ขณะที่รายการอื่นๆใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ โดยกำไรสุทธิในงวด 2Q65 ที่ดีขึ้นหลักๆ เป็นผลมาจากทั้งกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ปรับตัวขึ้นมีนัยฯ และรายการพิเศษที่สุทธิแล้วในงวดนี้เป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
โดยในส่วนของกำไรจากการดำเนินงานปกติในงวด 2Q65 พบว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นมีนัยฯ ถึง 398.7%qoq มาอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านบาท รับอานิสงค์หลักจากธุรกิจโรงกลั่นที่ปรับตัวขึ้นโดดเด่นสุดในกลุ่ม โดยค่าการกลั่น (Market GRM) ในงวด 2Q65 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 25.1 จาก 6.4 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้า ตาม product spread ทุกผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้นกว่าเท่าตัวจากค่าเฉลี่ยในงวดก่อนหน้า จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และอุปทานที่ตึงตัวขึ้นจากการใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อการส่งออกน้ำมันของรัสเซีย อีกทั้ง utilization rate ของโรงกลั่นในงวด 2Q65 พบว่าเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 112% จาก 109% เนื่องจาก spread ผลิตภัณฑ์อยู่ในระดับสูงจึงเดินเครื่องผลิตเต็มกำลัง รวมถึงไม่มีแผน shutdown ใดๆ
นอกจากนี้ยังได้รับปัจจัยหนุนเล็กน้อยจากธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น (TLB) ที่ส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.8 จาก 0.6 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้า ตาม spread น้ำมันหล่อลื่น 500SN (สัดส่วน 25%) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 16.1%qoq มาอยู่ราว 606.5 เหรียญฯ ต่อตัน ซึ่งเป็นไปตามช่วงฤดูกาลซึ่งเป็นฤดูเกษตรกรรม ความต้องการใช้น้ำมันหล่อลื่นจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่ spread บิทูเมน (สัดส่วน 40%) แย่ลง โดยติดลบ 100.1 (-100.1) จากติดลบ 80.9 (-80.9) เหรียญฯ ต่อตัน ในงวดก่อนหน้า
ขณะที่ผลการดำเนินงานของธุรกิจอะโรเมติกส์และ LAB (TPX) ในงวด 2Q65 ลดลงมาอยู่ในจุด breakeven 0 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล จาก 0.7 เหรียญฯต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้า ถูกกดดันจากธุรกิจอะโรเมติกส์ที่ในงวดนี้ยังเผชิญกับผลขาดทุนเช่นในงวดก่อนหน้า (-0.8 เหรียญฯ) ตามการปรับตัวขึ้นของต้นทุน feedstock ULG95 ทำให้ spread ผลิตภัณฑ์โดยภาพรวมทั้ง Px และ BZ ปรับตัวลดลง อีกทั้งผลกระทบจาก COVID อีกระลอกในจีนทำให้ demand ขั้นปลายชะลอตัว แต่ทั้งนี้ได้ธุรกิจ LAB ที่ยังมีส่วนแบ่งกำไร 0.8 เหรียญฯ ช่วยพยุงไว้
โดยรวมแล้ว Market GlM (Gross Integrated Margin) ในงวด 2Q65 พบว่าเพิ่มขึ้นมาอยู่ ที่ 25.6 จาก 7.6 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ในงวดก่อนหน้า
สําหรับในส่วนของธุรกิจอื่นๆ อาทิ ธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจโซลเวนท์ และ เอทานอล รวมมีส่วนแบ่งกำไรในงวด 2Q65 อยู่ที่ 734 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 650 ล้านบาท ในงวดก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ในส่วนของรายการพิเศษนั้นในงวด 2Q65 สุทธิแล้วเป็นกำไรจากรายการพิเศษเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9.1 จาก 3.9 พันล้านบาท ในงวดก่อนหน้า หลักๆ เป็นผลมาจากการบันทึกกำไรจากการขายหุ้นสามัญของบริษัท โกลบอลเพาเวอร์ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) (GPSC) สัดส่วน 10.78% ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ (ราคาขายและต้นทุน GPSC อยู่ราว 72 และ 38 บาท/หุ้น ตามลำดับ) รวมกับการจัดประเภทเงินลงทุนใน GPSC ใหม่เป็น financial asset ทำให้ต้องมีการ mark to market ในการจัดประเภทเงินลงทุน รวมสุทธิที่ 1.7 หมื่นล้านบาท หรือหลังภาษีจะอยู่ที่ 1.3 หมื่นล้านบาท ถึงแม้จะมีการบันทึกกำไรจากสต๊อกน้ำมันรวม NRV ลดลงมาอยู่ที่ 7.8 พันล้านบาท จาก 1.2 หมื่นล้านบาท ในงวดก่อนหน้า ตามราคาน้ำมันดิบอ้างอิงดูไบ ณ สิ้นงวด 2Q65 ที่ ณ เพิ่มขึ้นจากสิ้นงวด 1Q65 เพียง 14 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล เทียบกับงวดก่อนหน้าที่เพิ่มถึง 38 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล (เดือน มิ.ย. ปิดเฉลี่ยราว 114 เหรียญฯต่อบาร์เรล) นอกจากนี้ในงวด 2Q65 บันทึกขาดทุนจาก hedging เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัวจากงวดก่อนหน้ามาอยู่ราว 1.2 หมื่นล้านบาท (แบ่งเป็น realized 1.0 หมื่นล้านบาท และ unrealized 2.4 พันล้านบาท) จาก 7.3 พันล้านบาท ในงวดก่อนหน้า อีกทั้งมีการบันทึกกลับเป็นขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนตามค่าเงินบาทที่อ่อนค่าราว 2 บาทต่อเหรียญฯ ที่ 1.3 พันล้านบาท เทียบกับงวดก่อนหน้าที่บันทึกเป็นกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 311 ล้านบาท
ปรับลดประมาณการปี 2565 สะท้อน GRM ใน 2H65 ลดลงแรงและเร็วกว่าที่คาดไว้…คงมุมมองกำไรปกติ 3Q65 อ่อนตัวลง QoQ
ฝ่ายวิจัยปรับลดประมาณการกำไรจากการดำเนินปกติปี 2565 เป็น 3.0 หมื่นล้านบาท จากเดิม 3.6 หมื่นล้านบาท เพื่อสะท้อนสถานการณ์ค่าการกลั่นที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยฯ และรวดเร็ว เพียงภายในช่วงเวลา 1 เดือน ที่ผ่านมา โดยภาพรวมเศรษฐกิจโลกได้ให้น้ำหนักกับความกังวลในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันความต้องการใช้สินค้า commodity โดยเฉพาะน้ำมันให้ปรับตัวลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปปรับตัวลดลงค่อนข้างมีนัยฯ ในปัจจุบัน และมากกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดไว้เดิมที่มีมุมมองว่าค่าการกลั่นในช่วง 2H65 จะอ่อนตัวลงจากงวด 2Q65 ที่อยู่สูงในภาวะผิดปกติ จากเหตุการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งนำไปสู่การ sanction พลังงานเชื้อเพลิงของกลุ่มทวีปยุโรปที่มีต่อรัสเซีย ทำให้ตลาดมีความกังวล supply น้ำมันทั้งน้ำมันดิบและน้ำมันสําเร็จรูปจะหายไปจากตลาด โดยเดิมคาดการอ่อนตัวจะเป็นลักษณะค่อยเป็นค่อยไป แต่ภาพในปัจจุบันความต้องการใช้ที่ชะลอตัวจากเศรษฐกิจถดถอยมีน้ำหนักมากกว่า จึงทำให้ล่าสุดค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์เฉลี่ย 1-5 ส.ค. 65 ปรับตัวลดลงมาอยู่เพียง 6.8 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ทำให้ค่าเฉลี่ยค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ตั้งแต่ต้นงวด 3Q65 ถึงปัจจุบันอยู่ที่ 8.0 เหรียญฯต่อบาร์เรล จากค่าเฉลี่ยในงวด 2Q65 ที่ 21.4 เหรียญฯต่อบาร์เรล จึงทำให้ฝ่ายวิจัยมีการทบทวนปรับลดสมมติฐานค่าการกลั่น (Market GRM) ในปี 2565 มาอยู่ราว 13 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล จากกำหนดเดิมที่ 15 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล โดยคาดค่าการกลั่นในงวด 4Q65 น่าจะเห็นการฟื้นจากงวด 3Q65 เพราะจะเป็นช่วงสะสมสต๊อกไว้ใช้ในฤดูหนาว ประกอบกับยังอยู่ภายใต้สมมติฐานเหตุการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมถึง sanction ยังคงอยู่แต่ความรุนแรงจะค่อยๆ คลี่คลายลง แต่ทั้งนี้ยังคงสมมติฐานค่าการกลั่นปี 2566 ไว้ที่ 8.0 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล และกลับไปสู่ภาวะปกติตั้งแต่ปี 2567 ทำให้ฝ่ายวิจัยยังคงสมมติฐานประมาณการตั้งปี 2567 ไว้เช่นเดิม ภายใต้สมมติฐานค่าการกลั่นระยะยาวที่ราว 5.0 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล
สําหรับแนวโน้มกำไรจากการดำเนินงานปกติงวด 3Q65 คาดจะปรับตัวลดลงจากงวด 2Q65 ตามสมมติฐานค่าการกลั่นที่คาดจะปรับตัวลดลงจากระดับ 25 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล มาอยู่ราว 8-10 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ตามแรงกดดันจากความต้องการใช้ที่ลดลงตามเศรษฐกิจที่เข้าสู่ภาวะถดถอย อีกทั้งยังมีโรงกลั่นใหม่ที่มีแผน COD ในช่วง 2H65 ทั้งในจีน มาเลเซีย และอินเดีย กำลังการผลิต 700, 300 และ 100 พันบาร์เรลต่อวัน ตามลำดับ รวมกว่า 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน ที่เป็น supply ใหม่ที่จะเข้าสู่ตลาดในปี 2565 ขณะที่ธุรกิจอะโรเมติกส์ และน้ำมันหล่อลื่น คาดส่วนแบ่งกำไรจะทรงตัวใกล้เคียงกับช่วง 1H65 ที่ราว 1.2-1.5 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ยังไม่มีความโดดเด่น เนื่องจากต้นทุน feedstock ยังอยู่ในระดับสูง และมี supply ใหม่เข้าสู่ตลาด สำหรับธุรกิจอะโรเมติกส์ รวมถึงผ่านช่วง high season แล้วสำหรับธุรกิจน้ำมันหล่อลื่น
ส่วนของรายการพิเศษอื่นๆ ในงวด 3Q65 หากราคาปิดน้ำมันดิบดูไบช่วงสิ้นงวด 3Q65 อยู่ต่ำกว่า 114 เหรียญฯต่อบาร์เรล จะบันทึกกลับเป็นขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน ซึ่งหากพิจารณาราคาน้ำมันดิบดูไบในปัจจุบันที่ราว 90-100 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล คาดมีโอกาสสูงที่ในงวด 3Q65 จะบันทึกเป็นขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน แต่ในทางกลับกันในส่วนของ hedging มีโอกาสที่จะบันทึกขาดทุนจาก hedging ลดลง หรือบันทึกกลับเป็นกำไรจาก hedging ซึ่งยังเป็นประเด็นที่ต้องติดตาม
ESG
Environment : การสนับสนุนเศรษฐกิจสีเขียว มุ่งลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิจากการดำเนินงานปกติลง 15% ในปี 2573 พร้อมรักษาสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมไม่ต่ำกว่า 25% ของกำไรสุทธิตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นไป
Social : เสริมสร้างศักยภาพของชุมชนและสังคม เพื่อความผูกพันและการเติบโตร่วมกันในระยะยาว พร้อมสร้างผลตอบแทนทางสังคม (Social Return On Investment) ไม่ต่ำกว่า 2 เท่าของเงินลงทุนเชิงสังคมภายในปี 2573
Governance : มุ่งสร้างความโปร่งใส โดยใช้กลยุทธ์ด้าน GRC (Governance, Risk and Compliance), ปราศจากการฝ่าฝืนกฎหมาย และกฎระเบียบขององค์กร
TOP แนะนํา ซื้อ
ราคาปัจจุบัน (บาท) 50.00
ราคาเป้าหมาย (บาท) 65.00
Upside (%) 30.0
Dividend yield (%) 8.0