บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

Action BUY (Maintain)

TP upside (downside) +32.0%

Close Aug 9, 2022 Price (THB) 10.30

12M Target (THB) 13.60

Previous Target (THB) 13.00

What’s new?

  • บริษัทรายงานกำไรปกติใน 2Q65 อยู่ที่ 1.7 พันลบ. ลดลง 4% QoQ จากฐานที่เป็นจุดสูงสุดรายไตรมาส แต่เติบโตได้ 50% YoY จากการรับรู้ Backlog โครงการแนวราบที่หนาแน่น และส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจร่วมค้าที่เพิ่มขึ้นเด่น ทั้งนี้ กำไรปกติใน 1H65 คิดเป็น 59% เมื่อเทียบกับประมาณการทั้งปี
  • เราปรับประมาณการปี 2565/66 ขึ้น 14% และ 11% เป็น 5.8 พันลบ. (+27% YoY) และ 6.0 พันลบ. (+4% YoY) ตามลำดับ หลักๆ เป็นการปรับสมมติฐานยอดโอนกรรมสิทธิ์และ GPM ขึ้นเพื่อสะท้อนอุปสงค์ โครงการแนวราบที่แข็งแกร่ง

Our view

  • บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ใน 2H65 สูงถึง 5.4 หมื่นลบ. (+151% HoH, +190% YoY) ทำให้แนวโน้ม Presale ใน 2H65 จะเติบโตทั้ง HoH และ YoY
  • แนวโน้มกำไรปกติใน 2H65 คาดเติบโตเด่น YoY (แต่ลดลง HoH จากฐานสูง) หนุนจากการเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ที่หนาแน่น และการโอนโครงการแนวสูง JV สร้างเสร็จใหม่ 2 โครงการ รวมมูลค่า 9.5 พันลบ. ใน 3Q65
  • คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อม Rollover ไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 13.60 บาท/หุ้น หลังการปรับประมาณการปี 2566 ขึ้น 11% เป็น 6.0 พันลบ. (+3.8% YoY)

AP (THAILAND) ปรับประมาณการปี 2565/66 ขึ้นจากกำไร 2Q65 ที่โดดเด่น

กำไรปกติใน 2Q65 ลดลง 4% QoQ แต่เติบโต 50% YoY

บริษัทรายงานกำไรสุทธิใน 2Q65 ที่ 1.6 พันลบ. (-9.0% QoQ, +41.2% YoY) แต่หากตัดรายการพิเศษ คือ ขาดทุนจากการด้อยค่าที่ดินจำนวน 95 ลบ. ออก จะทำให้กำไรปกติใน 2Q65 อยู่ที่ 1.7 พันลบ. (-3.8% QoQ, +49.5% YoY) ดีกว่าเราและตลาดคาดที่ 5.4% และ 11.3% ตามลำดับ กำไรปกติที่ลดลง QoQ มาจากฐานที่ เป็นระดับจุดสูงสุดรายไตรมาส อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบ YoY กำไรปกติเติบโตเด่นจาก 1) ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้น 22.8% YoY เป็น 9.6 พันลบ. เทียบ QoQ ลดลง 9.4%) หนุนจากการรับรู้ Backlog โครงการแนวราบ และการระบายสินค้าคงเหลือแนวราบที่ทำได้ดี และ 2) ส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจร่วมค้าที่ 378 ลบ. (+53.0% QoQ, +108.3% YoY) เติบโต QoQ และ YoY จากยอดโอนโครงการ JV ที่เพิ่มขึ้น 4.2% QoQ และ 37.2% YoY เป็น 2.3 พันลบ. กอปรกับบริษัทมีการตีกลับค่าใช้จ่ายที่ตั้งไว้สำหรับโครงการที่ใกล้ขายหมดแล้วราว 70 ลบ.

อัตรากำไรขั้นต้นใน 2Q65 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 26 pps QoQ และ 196 bps YoY เป็น 33.6% หลักๆ มาจาก GPM โครงการแนวราบที่ดีขึ้นตามการปรับราคาขายในโครงการใหม่เพื่อส่งต่อต้นทุนวัตถุดิบไปยังลูกค้าได้บางส่วน ด้าน SG&A/Sales ใน 2Q65 อยู่ที่ 17.4% (+164 bps QoQ, +6 bps YoY) ปรับตัวเพิ่มขึ้น QoQ จากรายได้รวม ที่ลดลงและค่าใช้จ่ายบุคลากรที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับแผนเปิดโครงการใหม่ที่หนาแน่น

คาด Presale 2H65 เติบโต HoH และ YoY จากแผนเปิดโครงการใหม่เชิงรุก

ในช่วง 2H65 บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 40 โครงการ รวมมูลค่า 5.4 หมื่นลบ. (+150.8% HoH, +190.2% YoY และคิดเป็นกว่า 71.5% ของแผนทั้งปีที่ 7.5 หมื่นลบ.) แบ่งเป็นการเปิดตัวในช่วง 3Q65 และ 4Q65 ในจำนวนที่ใกล้เคียงกันที่ 20 โครงการ รวมมูลค่า 2.7 หมื่นลบ./ไตรมาส ทั้งนี้ ในช่วงต้น 3Q65 บริษัทมีการเปิดโครงการแนวสูงไปแล้ว 1 โครงการ คือ Aspire Sukhumvit Rama 4 (4.2 พันลบ.) ทำ Take-up rate ได้ราว 23% ภายในสัปดาห์แรกของการเปิดตัว นอกจากนี้ การเปิดโครงการใหม่ที่หนาแน่นใน 2H65 ส่งผลให้แนวโน้ม Presale ใน 2H65 คาดเติบโตทั้ง HoH และ YoY กอปรกับ Presale ใน 1H65 ที่ 2.6 หมื่นลบ. (+43.3% YoY) และคิดเป็น 51.1% เมื่อเทียบกับเป้าหมายทั้งปีของบริษัท เราจึงคาดว่ามีโอกาสที่บริษัทจะทำ Presale ทั้งปีได้สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้

แนวโน้มกำไรปกติ 2H65 เติบโต YoY แต่ลดลง HoH

สำหรับแนวโน้มกำไรในช่วง 2H65 คาดเพิ่มขึ้น YoY (แต่ลดลง HoH จากฐานสูง) หนุนจาก 1) การรับรู้ Backlog โครงการแนวราบจาก ณ สิ้น 1H65 กว่า 1.3 หมื่นลบ. บวกกับแผนเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ใน 2H65 ที่คิด เป็นสัดส่วนกว่า 80.6% ซึ่งมีวัฏจักรการรับรู้รายได้ที่สั้น และจะหนุนยอดโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงที่เหลือของปี และ 2) การเริ่มโอนโครงการแนวสูงสร้างเสร็จใหม่ 2 โครงการใน 3Q65 ได้แก่ JV-Life Sathorn Sierra (6.3 พันลบ. Sold 55%) และ JV-Rhythm Ekkamai Estate (3.4 พันลบ. Sold 30%)

ปรับประมาณการปี 2565/66 ขึ้น 14% และ 11% ตามลำดับ

เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2565/66 ขึ้น 14.0% และ 10.9% เป็น 5.8 พันลบ. (+26.5% YoY) และ 6.0 พันลบ. (+3.8% YoY) ตามลำดับ (คาดทำระดับจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง) หลักๆ เป็นการ 1) ปรับสมมติฐานยอดโอนกรรมสิทธิ์ขึ้น 4.0% และ 2.0% เป็น 3.7 หมื่นลบ. และ 3.9 หมื่นลบ. ตามลำดับ เพื่อสะท้อนอัตราการดูดซับอุปทานโครงการแนวราบใน 1H65 ที่ดีกว่าคาดการณ์เดิม และคาดว่าอัตราดูดซับอุปทานจะอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในปี 2566 และ 2) ปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นปี 2565/66 ขึ้น 71 bps และ 43 bps เป็น 33.1% และ 33.0% ตามลำดับ ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมี Backlog คาดรับรู้รายได้ในปีนี้จำนวน 1.9 หมื่นลบ. (แบ่งเป็นของ AP และ JV ที่ 1.3 หมื่นลบ. และ 5.6 หมื่นลบ. ตามลำดับ) คิดเป็น Secured Revenue แล้ว 88.7% ประมาณ การกำไรปกติปี 2565 ใหม่ของเรา จึงถือว่าอยู่ในระดับที่อนุรักษ์นิยม และ Downside risk คาดอยู่ในระดับต่ำ

คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ขึ้นเป็น 13.60 บาท/หุ้น

คงคำแนะนำ “ซื้อ” พร้อม Rollover ไปใช้ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 13.60 บาท/หุ้น หลังการปรับประมาณ การปี 2566 ขึ้น 10.9% (และอิง Target PER ที่ 7.2x ใกล้เคียง +1.0 SD จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของบริษัท) อย่างไรก็ตาม เราคาด AP อาจขาด Catalyst ด้านการเก็งกำไรเพื่อรับเงินปันผลระหว่างกาล เนื่องจากมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลปีละครั้ง คาดที่ 0.64 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield ทั้งปีที่ 6.2%

- Advertisement -