บล.เอเซีย พลัส:

กําไร 2Q65 ใกล้เคียงคาด

งวด 2Q65 กำไรสุทธิ 186 ล้านบาท (+4%YoY) โดยมียอดขายเกือบทุกกลุ่มเติบโต ยกเว้นกลุ่ม Export ที่ชะลอตัวเล็กน้อยจากลูกค้าในประเทศเมียนมาร์และ สปป. ลาว ด้าน gross margin ทำได้ 29.1% สูงกว่ากรอบเป้าหมายของบริษัทเล็กน้อย จากการเลือกทํา product mix ในกลุ่มสินค้า margin สูง และการปรับราคาสินค้าเพิ่ม 3-5% แม้ช่วง 2H65 คาดว่าแนวโน้มกำไรจะชะลอตัวจากปัจจัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ปัจจัยฤดูกาล ต้นทุนพลังงานที่ปรับเพิ่ม และอุปสรรคในการปรับราคาสินค้าขึ้น อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิ 1H65 ที่คิดเป็น 69% ของประมาณการทั้งปีที่ 551 ล้านบาท ฝ่ายวิจัยจึงคงประมาณการกำไรไว้ตามเดิม

ด้วยสภาวะเศรษฐกิจที่มีปัจจัยรุมล้อมหลายปัจจัย แต่ DRT ยังคงประคองฐานกำไรในระดับสูงได้ ประเมิน FV โดยใช้วิธี DDM ให้ราคาเหมาะสม 8.40 บาท มี upside 12% พร้อมคาดหวัง Dividend Yield 6.27% แนะนำซื้อ

กําไรสุทธิ 2Q65 186 ล้านบาท ใกล้เคียงคาด

งวด 2Q65 มีกำไรสุทธิ 186 ล้านบาท (+4% YoY) ใกล้เคียงคาด โดยมีรายได้ 1,368 ล้านบาท เติบโต 5%YoY มีสาเหตุมาจากลูกค้าเกือบทุกกลุ่มเติบโต ยกเว้นลูกค้ากลุ่ม export ที่ยังคงชะลอตัวเล็กน้อยจากลูกค้าในประเทศเมียนมาร์ที่เผชิญปัญหาด้านการเมือง และ สปป. ลาว ที่เผชิญปัญหาค่าเงินกีบอ่อนลงมาก ด้าน gross margin ทำได้ 29.1% แม้สถานการณ์ปัจจุบันที่เผชิญราคาต้นทุนเยื่อกระดาษ แร่ใยหิน และต้นทุนพลังงานปรับตัว สูงขึ้น แต่ DRT เลือกทำ product mix ในกลุ่มสินค้า margin สูง ประกอบกับมีการปรับราคาสินค้าเพิ่ม 3-5% ส่งผลให้ระดับ gross margin ยังทำได้สูงกว่ากรอบเป้าหมายของบริษัทที่ 27-29% เล็กน้อย

แนวโน้มกำไร 2H65 หดตัว แต่เชื่อว่าไม่หลุดประมาณการ

แนวโน้มผลประกอบการช่วง 2H65 คาดว่าจะชะลอตัวตามปัจจัยฤดูกาล และจะเผชิญปัจจัยลบต่างๆ ได้แก่ 1) ต้นทุนพลังงานที่ปรับเพิ่ม จะส่งผลให้ต้นทุนวัตถุดิบ Lot ใหม่ราคาปรับเพิ่ม กดดัน gross margin ให้ลดลง 2) การเปลี่ยนแหล่งนำเข้าของแร่ใยหิน จากเดิมที่ DRT นำเข้าแร่ใยหินจากรัสเซีย แต่หลังจากที่มีภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ DRT จำเป็นต้องเปลี่ยนไปนำเข้าแร่ใยหินจากบราซิลแทน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากระยะทางขนส่งที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับเงินบาทที่อ่อนค่าลง 3) อุปสรรคในการการปรับราคาสินค้าขึ้น ถึงแม้ช่วง 2Q65 DRT สามารถปรับราคาสินค้าเพิ่ม 3-5% ส่งผลให้ gross margin อยู่สูงกว่ากรอบเป้าหมายของบริษัทที่ 27-29% ได้เล็กน้อย แต่วิธีการดังกล่าวอาจจะไม่ใช่วิธีการที่ได้ผลในระยะยาว เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันมีระดับเงินเฟ้อที่สูง หากปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นมากเกินไป อาจส่งผลให้ผู้บริโภคตัดสินใจชะลอการซื้อสินค้า ทำให้ยอดขายชะลอตัว อย่างไรก็ตาม กำไรสุทธิ 1H65 คิดเป็น 69% ของประมาณการที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้ที่ 551 ล้านบาท ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าบริษัทยังคงรักษาฐานกำไรปี 2565 ได้ตามที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้จากปัจจัยบวกด้านอื่นๆ เช่น ลูกค้ากลุ่ม Modern Trade ที่มีสินค้าค้างส่งในช่วง 2H65 จำนวนมาก, ลูกค้ากลุ่มโครงการที่มีแนวโน้มเติบโตเกินกว่า 10% และความสามารถในการปรับ Product Mix ให้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี

ยังคงแนะนําซื้อ หุ้นเงินปันผลสูง

สภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันที่มีเงินเฟ้อระดับสูง ประกอบกับปัจจัยลบหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวเพิ่ม แต่ยังคงรักษาผล DRT ประกอบการให้อยู่ในเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งเป้าไว้ ฝ่ายวิจัยเชื่อมั่นว่าจะสามารถทำกำไรได้ตามที่ผ่านวิจัยประเมินไว้ที่ 551 ล้านบาท นอกจากนี้ DRT ยังคงจ่ายเงินปันผลได้ใน ระดับสูงต่อเนื่อง ประเมิน FV โดยใช้วิธี DDM ให้ราคาเหมาะสม 8.40 บาท มี upside 12% พร้อมคาดหวัง Dividend Yield 6.27% แนะนำซื้อ

ประเด็นความเสี่ยง

1. หากต้นทุนวัสดุต่างๆ เช่น ปูนซีเมนต์ ต้นทุนพลังงาน เยื่อกระดาษ ปรับเพิ่มมากกว่าราคาขายที่ DRT สามารถปรับเพิ่มได้ จะกดดันให้อัตรากำไรขั้นต้นต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ที่ 27-29%

2. ความเสี่ยงจากการออกมาตรการควบคุมการใช้แร่ใยหินของภาครัฐ ซึ่งอาจกระทบต่อยอดขายสินค้าในกลุ่มกระเบื้องหลังคาของ DRT ที่ปัจจุบันมีสัดส่วนสินค้าที่มีใยหินประมาณ 30% ของยอดขายทั้งหมด

DRT แนะนํา ซื้อ

ราคาปัจจุบัน (บาท) 7.50

ราคาเป้าหมาย (บาท) 8.40

Upside (%) 12.00

Dividend yield (%) 6.27

- Advertisement -