บล.เอเซีย พลัส:

เย็นสบาย

กำไรปกติงวด 2Q65 เท่ากับ 183 ล้านบาท ลดลง 17% QoQ (+12% YoY) ตามฤดูกาล และ 1H65 อยู่ที่ 405 ล้านบาท (+30% YoY) ทำให้ฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มกำไรปกติปี 2565-67 ให้สอดคล้องกับกำไรปกติ 1H65 (+30% YoY) และเป้าหมายบริษัทฯ รวมถึงปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ทำให้กำไรปกติปี 2565-67 เพิ่มจากเดิมเฉลี่ย 11% คิดเป็น CAGR ราว 11% และแนวโน้ม ROE ยืนในระดับสูงราว 15%

ภายใต้ประมาณการใหม่ แต่ปรับ PER ให้สะท้อนภาพเศรษฐกิจโลกจาก 13 เท่า เหลือ 10 เท่า ให้ FV ปี 2565 ใหม่ ที่ 21 บาท (เดิม 21.4 บาท) แนะนำ ซื้อ จากการรับงาน OEM จากบริษัทจีน ต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้สงครามการค้าที่มีโอกาสคลี่คลายยากขึ้น นอกจากคาดช่วยให้ออเดอร์เข้ามาต่อเนื่องในอีก 2 ปี ข้างหน้า ยังเปิดโอกาสในการเติบโตในอนาคต ในขณะที่คาด Div yield ราว 6.4% ต่อปี (DPS 1H65 ที่ 0.65 บาท คิดเป็น Div yield ราว 3.6% ขึ้น XD 18 ส.ค. 65)

กําไร 2Q65 เป็นไปตามฤดูกาล

กำไรสุทธิงวด 2Q65 เท่ากับ 195 ล้านบาท (-30% QoQ, +19% YoY) หากไม่รวมกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 12 ล้านบาท มีกำไรปกติ 183 ล้านบาท ลดลง 17% QoQ (+12% YoY) หลังยอดขายในกลุ่มธุรกิจเครื่องปรับอากาศชะลอตัวตามฤดูกาล ส่งผลให้ยอดขายหดตัว 26% QoQ (+22% YoY) อยู่ที่ 5.1 พันล้านบาท

ด้าน Norm profit margin อยู่ที่ 3.6% เทียบกับ 3.2% งวด 1Q65 (2Q64 ที่ 3.9%) เป็นไปตามสัดส่วนงาน OEM ที่มีมาร์จิ้นต่ำกว่าค่าเฉลี่ยบริษัทฯ ต่ำลง หลังผ่าน High season ของธุรกิจแอร์ ทำให้ Gross Margin เพิ่มเป็น 7.8% เทียบกับ 6.6% ในงวด 1Q65 และมีพัฒนาการจาก 7.4% ช่วงเดียวกันปีก่อน ตามมาร์จิ้นธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าดีขึ้น ชดเชยสัดส่วน SG&A/Sales เท่ากับ 3.2% เทียบกับ 2.4% งวดก่อน (2Q64 ที่ 3.2%) ตามยอดขายที่อ่อนตัว กอปรกับดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มมาที่ 25 ล้านบาท จาก 21 ล้านบาทงวดก่อน (18 ล้านบาทงวด 2Q64) สอดคล้องกับทิศทางภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ย ณ สิ้นงวด 2Q65 สูงขึ้นเป็น 2.9 พันล้านบาท จาก 2.8 พันล้านบาท ณ สิ้นงวดก่อน

โดยรวมกำไรปกติ 1H65 เท่ากับ 405 ล้านบาท เติบโต 30% YoY หนุนด้วยยอดขายขยายตัว 54% YoY จาก OEM ชดเชย Norm margin ลดเหลือ 3.4% จาก 4.0% หลักๆ เป็นเพราะสัดส่วนยอดขายจาก OEM สูงขึ้น

มองเป้าปี 66 ค่อนข้างท้าทาย แต่สุทธิแล้วยังดีกว่าสมมติฐานเดิม

จาก Opportunity Day วานนี้ ผู้บริหารบริษัทฯ มองยอดขายปี 2565 ขยายตัวประมาณ 30% YoY โดย SNC คาดการดำเนินงาน 3Q65 อ่อนตัว QoQ ตามฤดูกาล และทรงตัว YoY ส่วน 4Q65 ปรับตัวดีขึ้น QoQ จากการเตรียมผลิตเพื่อรองรับ High season ของธุรกิจแอร์ในช่วง 1H และออเดอร์น่าจะสูงกว่าปีก่อนในเชิง YoY สำหรับปี 2566 เบื้องต้น SNC มองยอดขายบวกประมาณ 10% YoY

ในมุมมองฝ่ายวิจัยมองเป้ายอดขายปี 2565 ค่อนข้างเหมาะสม ภายใต้สภาวะแวดล้อมปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูง สำหรับเป้าหมายยอดขายปี 2566 แม้ปกติบริษัทฯ ให้เป้าหมายเชิงอนุรักษ์นิยม อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยมองว่าเป้าหมายปี 2566 ท้าทายเกินไป จากความเสี่ยง Recession ในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นฐานลูกค้า OEM ของ SNC อีกทั้งเชิงโครงสร้างสหรัฐฯ ถือเป็นตลาดใหญ่สุดของเครื่องปรับอากาศไทย

ภาพรวมฝ่ายวิจัยกำหนดสมมติฐานยอดขายปี 2565 เท่ากับเป้าหมายบริษัทฯ และ 2566-67 เติบโต 7% ต่อปี (เดิมคาดบวกเฉลี่ย 13%) และให้สมมติฐาน Norm profit margin ปี 2565-67 อยู่ที่ 3.8% (1H65 ที่ 3.9%) ถือว่าอนุรักษ์นิยม เนื่องจากฐานรายได้ OEM ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยๆ เหมือนปี 2564-65 ในทางทฤษฎีเมื่อยอดขายสูงขึ้น ควรจะเห็นผลบวกจาก Economies of scale

โดยรวมกำไรปกติปี 2565 เพิ่มขึ้นจากเดิม 15% มาที่ 755 ล้านบาท (+19% YoY, 1H65 คิดเป็นสัดส่วน 54%) และปี 2566-67 บวกจากเดิมเฉลี่ย 10% มาที่ 807 ล้านบาท (+7% YoY) และ 863 ล้านบาท (+7% YoY)

ซื้อได้ประโยชน์จาก TRADE WAR

ภายใต้ประมาณการใหม่และปรับมาใช้จำนวนหุ้น ณ สิ้นงวด 2Q65 ที่ 362.2 ล้านหุ้น (เดิมใช้ 400 ล้านหุ้น เพราะรวมหุ้นตาม General mandate) นอกจากนี้เพื่อสะท้อนความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น จึงปรับลด PER จาก 13 เท่าเหลือ 10 เท่า บวก 0.5 SD จากค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2558 ให้ FV ปี 2565 ใหม่ ที่ 21 บาท (เดิม 21.4 บาท) คงแนะนำ ซื้อ จากการรับงาน OEM จากบริษัทจีนอย่างต่อเนื่องตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ที่มีโอกาสคลี่คลายยากขึ้น นอกจากคาดช่วยให้ออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่องในอีก 2 ปีข้างหน้า ยังเปิดโอกาสในการเติบโตในอนาคต หากได้ออเดอร์ใหม่ (Utilization rate ปัจจุบันราว 70%) ในขณะที่เชิงพื้นฐานแนวโน้ม ROE ยังยืนในระดับสูงราว 15% พร้อมคาด Div yield ราว 6.4% ต่อปี

ประเด็นความเสี่ยงสําคัญ ต่อประมาณการ

1. ภายใต้ประมาณการปี 2565 ทุก 1% ของยอดขายที่ต่ำลงจาก Base case ที่ 2 หมื่นล้านบาท จากความเสี่ยงในด้านกำลังซื้อชะลอตัวจากภาวะเศรษฐกิจ, คำสั่งซื้อจาก OEM ไม่มาตามแผน ฯลฯ และกำหนดประสิทธิภาพการทำกำไรคงเดิม จะส่งผลให้กำไรปกติปี 2565 ลดลงจาก 659 ล้านบาท ประมาณ 0.7% และ FV ปี 2565 ลดลงราว 0.1 บาท ขณะที่ในกรณี Worst case บนสมมติฐานยอดขายลดลงทุก 1% จาก Base Case ปี 2565 และกำหนดให้สมมติฐานต้นทุนผลิตเท่าเดิมที่ 1.6 หมื่นล้านบาท อาจเกิดได้ในกรณีค่าเสื่อมราคาจากสายการผลิตใหม่ (หรือของเสียในการผลิตช่วงเริ่มต้นสายการผลิตใหม่) และออเดอร์จากงาน OEM ไม่มาตามคาด จะส่งผลให้ Gross Margin ปี 2565 ต่ำลงจาก 7.1% เหลือ 6.4% และกำไรปี 2565 ต่ำลงจากประมาณการ 17% มาอยู่ที่ 628 ล้านบาท และ FV ปี 2565 จาก 21 บาท มาอยู่ที่ประมาณ 17 บาท

2. ภายใต้ประมาณการปี 2565 ทุก 0.5% ของ Gross Margin ที่ต่ำลงจากสมมติฐานที่ 7.1% จะส่งผลให้กำไรปี 2565 ต่ำลงจาก 14% มาอยู่ที่ 653 ล้านบาท และ FV ปี 2565 จาก 21 บาท มาอยู่ที่ 18 บาท

SNC แนะนํา ซื้อ

ราคาปัจจุบัน (บาท) 18.10

ราคาเป้าหมาย (บาท) 21.00

Upside (%) 16.0

Dividend yield (%) 6.4

- Advertisement -