PTG ฟอร์มสวย ประกาศงบไตรมาส 2/65 โชว์กำไรสุทธิกว่า 600 ล้าน เพิ่มขึ้น 271% เผยยอดขายน้ำมันทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์การณ์ กว่า 1,367 ล้านลิตร ส่วนธุรกิจ Non-Oil รายได้พุ่ง 2,174 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.1% ด้านแผนงานปีนี้ เล็งทุ่มงบ 3-4 พันล้านบาท เดินหน้าขยายธุรกิจเพิ่ม ทั้งการขยายสาขาสถานีบริการน้ำมัน ธุรกิจ Non-Oil สถานี LPG คาดปริมาณการจำหน่ายน้ำมันขยายตัวเพิ่มขึ้น 6-10% ส่วนอัตราการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายแก๊ส LPG อยู่ที่ 50-60% รวมถึงอัตราการเติบโตของยอดขาย Non-Oil ประมาณ 80-90% ขณะที่อัตราการเติบโตของ EBITDA อยู่ที่ 15-20% จากครึ่งปีแรกที่อยู่ที่ 3,092 ล้าน มั่นใจดันรายได้และกำไรเติบโตตามเป้า
นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินธุรกิจของบริษัทและบริษัทย่อย ในงวดไตรมาส 2/65 มีรายได้จากการขายและการบริการ จำนวน 46,307 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 606 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 270.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
“หลังจากภาครัฐประกาศเปิดประเทศเต็มระบบ ส่งผลให้กิจกรรมต่างๆ ทางเศรษฐกิจฟื้นตัวกลับมา เพราะมีการเดินทางและการท่องเที่ยวคึกคักขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้มีปริมาณการใช้และจำหน่ายน้ำมันขยายตัวตาม ส่งผลให้ปริมาณการขายน้ำมันของบริษัททำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีปริมาณจำหน่ายน้ำมันกว่า 1,367 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 5.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการ 96.2% ของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันทั้งหมด หรือ 1,315 ล้านลิตร เพิ่มขึ้น 7.4% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับปริมาณการใช้น้ำมันของประเทศที่เพิ่มขึ้น 12.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน”
ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้จากการขายและการบริการ ในไตรมาส 2/65 จำนวน 46,307 ล้านบาท เป็นผลมาจากรายได้จากธุรกิจน้ำมันเพิ่มขึ้น 37.7% และธุรกิจ Non-Oil ยังคงมีอัตราเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีรายได้ 2,174 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71.1% โดยปัจจุบันบริษัทมีสาขาของธุรกิจ Non-Oil รวมทั้งสิ้น 1,317 สาขา เพิ่มขึ้น 331 สาขา หรือ 33.6%
ขณะเดียวกัน บริษัทมีกำไรขั้นต้นทั้งสิ้น 3,430 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.9% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการปรับราคาขายปลีกให้สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของราคาต้นทุนน้ำมันที่สูงขึ้นและมีการบริหารต้นทุนได้อย่างเหมาะสม ส่งผลให้ค่าการตลาดเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งกำไรขั้นต้นจากธุรกิจน้ำมันยังเป็นธุรกิจหลัก มีสัดส่วน 84.0% และ อีก 16.0% เป็นกำไรขั้นต้นจากธุรกิจ Non-Oil ที่ขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 61.2% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยกำไรขั้นต้นจากธุรกิจ Non-Oil แบ่งเป็นธุรกิจแก๊ส LPG ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด (ATL) 7.6% ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม 2.5% และธุรกิจอื่นๆ 5.9% ได้แก่ ร้านสะดวกซื้อ Max Mart ธุรกิจน้ำมันเครื่อง และธุรกิจศูนย์ซ่อมบำรุงรถยนต์ Autobacs เป็นต้น
ส่วนผลการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีแรก 2565 บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการ จำนวน 85,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายและบริการในส่วนของธุรกิจน้ำมัน เพิ่มขึ้น 28.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจน้ำมัน 95.3% และรายได้จากธุรกิจ Non-Oil ในส่วนของธุรกิจ LPG ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มธุรกิจร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจการให้บริการพื้นที่เชิงพาณิชย์ และธุรกิจอื่นๆ เพิ่มขึ้น 57.7% จากการขยายสาขาในธุรกิจ Non-Oil และการเติมเต็มการให้บริการที่หลากหลายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีจำนวนสาขาธุรกิจ Non-Oil ทั้งสิ้น 1,317 สาขา
สำหรับการดำเนินธุรกิจในปี 2565 บริษัทวางแผนใช้งบลงทุน ประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตขึ้นตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งการขยายสาขาและจำนวน Touchpoint ทั้งหมด 3,582 สาขา แบ่งเป็น สถานีบริการน้ำมัน จำนวน 2,010 สาขา ธุรกิจ Non-Oil จำนวน 1,572 สาขา สถานี LPG และ Mix จำนวน 252 สาขา F&B, CVS และ Services จำนวน 1,320 สาขา เป็นต้น
“คาดว่าในปีนี้ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันจะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก ประมาณ 6-10% และอัตราการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายแก๊ส LPG ประมาณ 50-60% รวมถึงอัตราการเติบโตของยอดขาย Non-Oil ประมาณ 80-90% และอัตราการเติบโตของ EBITDA อยู่ที่ 15-20% จากครึ่งปีแรกที่บริษัทมี EBITDA อยู่ที่ 3,092 ล้าน จึงเชื่อว่า ภายในปีนี้ บริษัทจะมีรายได้และกำไรเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน” นายพิทักษ์ กล่าว
*******